The full dataset viewer is not available (click to read why). Only showing a preview of the rows.
Error code: DatasetGenerationCastError
Exception: DatasetGenerationCastError
Message: An error occurred while generating the dataset
All the data files must have the same columns, but at some point there are 5 new columns ({'Unnamed: 12', 'Unnamed: 9', 'Unnamed: 10', 'Unnamed: 8', 'Unnamed: 11'})
This happened while the csv dataset builder was generating data using
hf://datasets/mspkrai/ThaiBarAssociationEditorial/data/Bar_Editorials_2.csv (at revision 9475b7aad8dd43f7391b0e60d783f5fca4998ebe)
Please either edit the data files to have matching columns, or separate them into different configurations (see docs at https://hf.co/docs/hub/datasets-manual-configuration#multiple-configurations)
Traceback: Traceback (most recent call last):
File "/usr/local/lib/python3.12/site-packages/datasets/builder.py", line 1831, in _prepare_split_single
writer.write_table(table)
File "/usr/local/lib/python3.12/site-packages/datasets/arrow_writer.py", line 714, in write_table
pa_table = table_cast(pa_table, self._schema)
^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^
File "/usr/local/lib/python3.12/site-packages/datasets/table.py", line 2272, in table_cast
return cast_table_to_schema(table, schema)
^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^
File "/usr/local/lib/python3.12/site-packages/datasets/table.py", line 2218, in cast_table_to_schema
raise CastError(
datasets.table.CastError: Couldn't cast
1.สมัยที่: int64
2.เล่มที่: int64
3.ข้อเท็จจริง: double
4.คำถาม ( Question ): string
5.คำตอบ ( Answer ): string
6.กฎหมาย: string
7.ข้อสังเกต: string
อื่นๆ: string
Unnamed: 8: double
Unnamed: 9: double
Unnamed: 10: double
Unnamed: 11: double
Unnamed: 12: string
-- schema metadata --
pandas: '{"index_columns": [{"kind": "range", "name": null, "start": 0, "' + 2403
to
{'1.สมัยที่': Value('int64'), '2.เล่มที่': Value('int64'), '3.ข้อเท็จจริง': Value('string'), '4.คำถาม ( Question )': Value('string'), '5.คำตอบ ( Answer )': Value('string'), '6.กฎหมาย': Value('string'), '7.ข้อสังเกต': Value('string'), 'อื่นๆ': Value('float64')}
because column names don't match
During handling of the above exception, another exception occurred:
Traceback (most recent call last):
File "/src/services/worker/src/worker/job_runners/config/parquet_and_info.py", line 1339, in compute_config_parquet_and_info_response
parquet_operations = convert_to_parquet(builder)
^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^
File "/src/services/worker/src/worker/job_runners/config/parquet_and_info.py", line 972, in convert_to_parquet
builder.download_and_prepare(
File "/usr/local/lib/python3.12/site-packages/datasets/builder.py", line 894, in download_and_prepare
self._download_and_prepare(
File "/usr/local/lib/python3.12/site-packages/datasets/builder.py", line 970, in _download_and_prepare
self._prepare_split(split_generator, **prepare_split_kwargs)
File "/usr/local/lib/python3.12/site-packages/datasets/builder.py", line 1702, in _prepare_split
for job_id, done, content in self._prepare_split_single(
^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^
File "/usr/local/lib/python3.12/site-packages/datasets/builder.py", line 1833, in _prepare_split_single
raise DatasetGenerationCastError.from_cast_error(
datasets.exceptions.DatasetGenerationCastError: An error occurred while generating the dataset
All the data files must have the same columns, but at some point there are 5 new columns ({'Unnamed: 12', 'Unnamed: 9', 'Unnamed: 10', 'Unnamed: 8', 'Unnamed: 11'})
This happened while the csv dataset builder was generating data using
hf://datasets/mspkrai/ThaiBarAssociationEditorial/data/Bar_Editorials_2.csv (at revision 9475b7aad8dd43f7391b0e60d783f5fca4998ebe)
Please either edit the data files to have matching columns, or separate them into different configurations (see docs at https://hf.co/docs/hub/datasets-manual-configuration#multiple-configurations)Need help to make the dataset viewer work? Make sure to review how to configure the dataset viewer, and open a discussion for direct support.
1.สมัยที่
int64 | 2.เล่มที่
int64 | 3.ข้อเท็จจริง
string | 4.คำถาม ( Question )
string | 5.คำตอบ ( Answer )
string | 6.กฎหมาย
string | 7.ข้อสังเกต
string | อื่นๆ
null |
|---|---|---|---|---|---|---|---|
78
| 1
|
นายเอกและนายโทมาอาศัยนอนพักที่บ้านนายตรี คืนหนึ่งนายเอกละเมอหยิบปืนขึ้นมาเล็งจะยิงไปที่นายโท นายโทเข้าใจว่านายเอกจะฆ่าตน นายโทไวกว่า นายโทจึงหยิบปืนของตนยิงไปที่นายเอก กระสุนถูกนายเอก แต่นายเอกไม่ตายเพราะแพทย์ช่วยทัน ได้รับอันตรายสาหัสและกระสุนปืนดังกล่าวยังทะลุฝากั้นห้องไปถูกนายตรีถึงแก่ความตาย
|
ให้วินิจฉัยความรับผิดทางอาญาของนายเอกและนายโท
|
คำตอบ ความรับผิดทางอาญาของนายเอกต่อนายโท การที่บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนานั้น จะต้องมีการกระทำซึ่งเกิดจากการเคลื่อนไหวร่างกายโดยรู้สำนึกและอยู่ภายใต้บังคับของจิตใจ ตามปัญหานายเอกละเมอหยิบปืนขึ้นมาเล็งจะยิงไปที่นายโท การเคลื่อนไหวดังกล่าวโดยมิได้รู้สำนึกและอยู่ภายใต้บังคับของจิตใจนายเอก ถือว่าไม่มีการกระทำตามกฎหมาย นายเอกจึงไม่มีความรับผิดฐานพยายามฆ่าตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๘๘ ประกอบมาตรา ๘๐ (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ ๒๕๙๐/๒๕๖๒)
ความรับผิดทางอาญาของนายโทต่อนายเอก นายโทยิงนายเอก แต่นายเอกไม่ตายเป็นการลงมือกระทำความผิดไปตลอดแล้ว แต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล ถือว่าการกระทำของนายโทครบองค์ประกอบความผิดฐานพยายามฆ่านายเอกแล้ว แต่นายโทยิงนายเอกเพราะเข้าใจว่านายเอกจะฆ่าตนนั้น นายโทกระทำไปโดยสำคัญผิดในข้อเท็จจริง ซึ่งถ้ามีอยู่จริงจะทำให้การกระทำไม่เป็นความผิด แม้ข้อเท็จจริงนั้นจะไม่มีอยู่จริง แต่นายโทสำคัญผิดว่ามีอยู่จริง การกระทำของนายโทย่อมไม่เป็นความผิด กล่าวคือความจริงนายเอกละเมอต้องถือว่าไม่มีการกระทำ จึงเป็นภยันตรายซึ่งมิได้เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย แต่นายโทสำคัญผิดว่าเป็นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย การที่นายโทยิงนายเอก นายโทย่อมไม่มีความผิดฐานพยายามฆ่านายเอกโดยเจตนา เพราะเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายโดยสำคัญผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๖๘ ประกอบมาตรา ๖๒ วรรคแรก
ความรับผิดทางอาญาของนายโทต่อนายตรี การที่นายโทยิงนายเอกไม่เป็นความผิด เพราะเป็นการป้องกันโดยสำคัญผิด แล้วกระสุนปืนพลาดไปถูกนายตรีตาย เป็นการกระทำโดยเจตนาต่อบุคคลหนึ่ง แต่ผลของการกระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป ถือว่านายโทเจตนาฆ่านายตรีโดยพลาดไปด้วย ตามมาตรา ๖๐ ซึ่งก็ต้องถือว่าเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายโดยสำคัญผิด ไม่เป็นความผิดด้วยเช่นเดียวกัน เพราะเป็นผลสืบเนื่องมาจากการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายต่อนายเอก นายโทจึงไม่มีความรับผิดทางอาญาต่อนายตรีในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา เพราะเป็นการป้องกันโดยสำคัญผิดและพลาดไป
|
อาญา
|
ข้อสังเกต เมื่อนักศึกษาอ่านคำพิพากษาฎีกาที่ ๒๕๙๐/๒๕๖๒ ที่วินิจฉัยว่า จำเลยละเมอใช้มีดแทงผู้ตายจนถึงแก่ความตาย จำเลยกระทำโดยไม่รู้สำนึกในการกระทำ จำเลยไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๘๘ นักศึกษาต้องคิดต่อให้ได้ว่าถ้าฎีกานี้ออกข้อสอบจะออกได้ในประเด็นใดบ้าง กรณีคำถามข้อนี้คือนายโทซึ่งจะได้รับภยันตรายไม่รู้ว่านายเอกละเมอ จะอ้างป้องกันได้หรือไม่ คำตอบ คืออ้างได้เพราะเป็นการป้องกันโดยสำคัญผิด คำถามข้อนี้ถ้าเปลี่ยนข้อเท็จจริงเป็นนายโททราบว่านายเอกละเมอโดยไม่มีการสำคัญผิด นายโทไม่อาจอ้างป้องกันได้ เพราะการกระทำของนายเอก แม้จะเป็นภยันตราย แต่ก็มิได้เป็นภยันตรายที่เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย อย่างไรก็ตาม นายโทอาจอ้างว่ากระทำผิดด้วยความจำเป็น เพื่อเป็นเหตุยกเว้นโทษได้ตามมาตรา ๖๗ (๒) หรือถ้าเปลี่ยนคำถามเป็นนายเอกละเมอยิงนายโท กระสุนไม่ถูกนายโทแต่กระสุนไปถูกนายสามตาย นายเอกไม่มีความผิดฐานพยายามฆ่านายโท และไม่มีความผิดฐานฆ่านายสามโดยพลาด เพราะการกระทำโดยพลาดต้องเป็นการกระทำโดยเจตนาต่อบุคคลหนึ่งแล้วผลไปเกิดกับอีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไปจะต้องเป็นการกระทำโดยเจตนา แต่การที่นายเอกละเมอไม่มีการกระทำซึ่งขาดองค์ประกอบภายนอกก็ไม่เป็นการกระทำโดยพลาดตามมาตรา ๖๐ นักศึกษาที่เรียนคำพิพากษาฎีกาต้องเรียนและวิเคราะห์ฎีกาต่อให้ได้ ไม่ใช่ท่องฎีกาอย่างเดียว
คำถามข้อนี้แม้ในคำถามมีข้อเท็จจริงที่ว่า นายเอกได้รับอันตรายสาหัส แต่นักศึกษาอย่าตอบมาว่านายโททำร้ายเป็นเหตุให้นายเอกรับอันตรายสาหัสโดยไม่ต้องรับผิดเนื่องจากป้องกันโดยสำคัญผิด เพราะเรื่องนี้เป็นเจตนาฆ่ามาตั้งแต่แรก เมื่อไม่ตายก็ต้องเป็นพยายามฆ่า สำหรับลำดับในการวินิจฉัยข้อนี้ ควรวินิจฉัยความรับผิดทางอาญาของนายเอกก่อน เพื่อจะได้นำความรับผิดของนายเอกมาตอบในส่วนความรับผิดทางอาญาของนายโทการตอบจะเป็นลำดับไม่วกไปวนมา
| null |
78
| 1
|
เดิมนายหนึ่งและนายสองร่วมกันครอบครองที่ดินซึ่งมีทางออกสู่ทางสาธารณะ จำนวน ๓๐ ไร่ ตั้งแต่ก่อนออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓) ต่อมานายหนึ่งและนายสองแบ่งแยกที่ดินเป็นสองแปลง นายหนึ่งได้ที่ดินแปลง ๒๐ ไร่ แต่ที่ดินดังกล่าวไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ นายสองได้ที่ดิน ๑๐ ไร่ซึ่งมีทางออกสู่ทางสาธารณะ นายหนึ่งขอออก น.ส.๓ ในที่ดินตนเลขที่ ๒๕๘๐ ปีต่อมานายสองขอออก น.ส.๓ ในที่ดินของตนเลขที่ ๒๖๐๒ หากนายหนึ่งจะผ่านที่ดินของนายสองออกสู่ทางสาธารณะต้องทำทางยาว ๒๐๐ เมตร ที่ดินของนายหนึ่งดังกล่าวยังติดกับที่ดินของนายสามซึ่งมีทางออกสู่ทางสาธารณะ หากนายหนึ่งจะผ่านที่ดินของนายสามออกสู่ทางสาธารณะจะทำทางเพียง ๕๐ เมตร นายหนึ่งประสงค์จะทำทางออกสู่ทางสาธารณะผ่านที่ดินของนายสามโดยยินยอมจ่ายค่าใช้ทาง นายสามไม่ยินยอม
|
ให้วินิจฉัยว่า นายหนึ่งจะฟ้องขอเปิดทางจำเป็นผ่านที่ดินของนายสามโดยยินยอมจ่ายค่าใช้ทาง
ได้หรือไม่
|
คำตอบ ก่อนออก น.ส.๓ เลขที่ ๒๕๗๐ และเลขที่ ๒๖๐๒ ที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวเคยเป็นที่ดินแปลงเดียวกัน และมีการแบ่งแยกที่ดินตั้งแต่ยังเป็นที่ดินมือเปล่า ต่อมานายหนึ่งและนายสองนำที่ดินที่ตนครอบครองไปขอออก น.ส.๓ โดยทางราชการออก น.ส.๓ เลขที่ ๒๕๗๐ ให้แก่นายหนึ่งและปีต่อมาออก น.ส.๓ เลขที่ ๒๖๐๒ ให้แก่นายสอง ที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวจึงเป็นที่ดินคนละแปลงกัน และที่ดินของนายหนึ่ง
ตาม น.ส.๓ เลขที่ ๒๕๗๐ ไม่ได้มีการแบ่งแยกหรือแบ่งโอนแล้วเป็นเหตุให้ที่ดินของนายหนึ่งไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะที่จะเรียกร้องเอาทางออกสู่ทางสาธารณะได้เฉพาะจากที่ดินของนายสองที่ได้แบ่งแยกกัน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๕๐ แต่ที่ดินของนายหนึ่งมีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ การที่นายหนึ่งจะออกสู่ทางสาธารณะได้จำเป็นต้องผ่านที่ดินของนายสามซึ่งเป็นทางที่มีระยะใกล้ทางสาธารณะที่สุด นายหนึ่งจึงมีสิทธิฟ้องขอให้เปิดทางในที่ดินของนายสามเป็นทางจำเป็นได้ แต่ที่และวิธีทำทางผ่านนั้นต้องเลือกให้พอควรแก่ความจำเป็นของนายหนึ่ง กับทั้งให้คำนึงถึงที่ดินที่ล้อมอยู่ให้เสียหายแต่น้อยที่สุดที่จะเป็นได้ ถ้าจำเป็นนายหนึ่งจะสร้างถนนเป็นทางผ่านก็ได้ โดยนายหนึ่งต้องใช้ค่าทดแทนให้แก่นายสามเจ้าของที่ดินที่ล้อมอยู่เพื่อความเสียหายอันเกิดแต่เหตุที่มีทางผ่านนั้นค่าทดแทนนั้นนอกจากค่าเสียหายเพราะสร้างถนน ท่านว่าจะกำหนดเป็นเงินรายปีก็ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๓๔๙ ฎีกาที่ ๘๐๐๓/๒๕๖๗ ก่อนออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓ ก.) เลขที่ ๒๕๗๐ และเลขที่ ๒๖๐๒ ที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวเคยเป็นที่ดินแปลงเดียวกันและเมื่อมีการแบ่งแยกเป็นที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวแล้วเป็นเหตุให้ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓ ก.) เลขที่ ๒๕๗๐ ของโจทก์ทั้งเจ็ดไม่มีทางอออกสู่ทางสาธารณะ แต่เมื่อข้อเท็จจริงที่รับกันฟังได้ว่าเดิมที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ทั้งสองแปลงดังกล่าวเป็นของ จ. บิดาโจทก์ทั้งเจ็ดกับ ป. ไม่มีหลักฐานการครอบครองที่ดินเป็นที่ดินมือเปล่า แต่มีการแบ่งแยกการครอบครองกันมาหลายสิบปีแล้ว ต่อมา จ. และ ป. นำที่ดินที่ตนครอบครองไปขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ โดยทางราชการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓ ก.) เลขที่ ๒๕๗๐ ให้แก่ จ. เมื่อปี ๒๕๒๒ และออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓ ก.) เลขที่ ๒๖๐๒ ให้แก่ ป. เมื่อปี ๒๕๒๓ ที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวจึงเป็นที่ดินคนละแปลงกัน และที่ดินของโจทก์ทั้งเจ็ด
ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓ ก.) เลขที่ ๒๕๗๐ ไม่ได้มีการแบ่งแยกหรือแบ่งโอนแล้วเป็นเหตุให้ที่ดินของโจทก์ทั้งเจ็ดไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๕๐ แต่ที่ดินของโจทก์ทั้งเจ็ดมีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ การที่โจทก์ทั้งเจ็ดจะออกสู่ทางสาธารณะได้จำเป็นต้องผ่านที่ดินของจำเลยทั้งสองตามทางพิพาทในแผนที่พิพาทซึ่งเป็นทางที่มีระยะใกล้ทางสาธารณะที่สุดและเป็นเส้นทางที่จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่จำเลยทั้งสองน้อยที่สุดเนื่องจากเป็นการใช้เส้นทางผ่านที่ดินของจำเลยทั้งสองบริเวณแนวเขตที่ดินที่แบ่งเขตระหว่างที่ดินของจำเลยทั้งสอง ประกอบกับโจทก์ทั้งเจ็ดเคยใช้เส้นทางตามแผนที่พิพาทมาก่อนตั้งแต่ ปี ๒๕๕๓ ถึงปี ๒๕๖๐ ในการเข้าออกสู่ทางสาธารณะก่อนที่จำเลยทั้งสองจะปิดกั้น โจทก์ทั้งเจ็ดจึงมีสิทธิขอให้เปิดทางพิพาทตามแผนที่พิพาทเป็นทางจำเป็นได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๔๙
|
แพ่ง
|
ข้อสังเกต การเขียนตอบกฎหมายแพ่งจะเขียนยากกว่ากฎหมายอาญา เพราะกฎหมายแพ่งไม่ได้มี
องค์ประกอบชัดเจนเหมือนกับกฎหมายอาญา การจะเขียนตอบให้ดีต้องฝึกเขียนบ่อย ๆ จะเขียนได้ดีขึ้น
โดยเฉพาะข้อนี้ผมตัดข้อเท็จจริงในฎีกาเรื่องเคยใช้ทางที่เป็นบริเวณแนวเขตออก นักศึกษาก็ต้องตอบหลักการของมาตรา ๑๓๔๙ มาให้ครบถ้วนด้วย สุดท้ายนี้ขอฝากนักศึกษาว่านอกจากการอ่านหนังสือและฟังคำบรรยายแล้ว นักศึกษาต้องฝึกเขียนตอบข้อสอบสม่ำเสมอเมื่อเข้าสอบจะได้เขียนตอบได้ดีเท่าที่เรามีความรู้
| null |
78
| 2
|
เจ้าหน้าที่ตำรวจสายปราบปรามจับกุมนายหนึ่งและนายสองส่งมอบพนักงานสอบสวน ดำเนินคดีเกี่ยวกับการค้ายาเสพติด เจ้าพนักงานตำรวจจึงนำนายหนึ่งและนายสองไปควบคุมตัวไว้ที่ห้อง ควบคุมผู้ต้องหาในสถานีตำรวจเพื่อรอพนักงานสอบสวนทำการสอบสวนตามกฎหมาย โดยมีสิบตำรวจตรี สามได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาให้อยู่เวรเฝ้าห้องควบคุมผู้ต้องหาเพื่อดูแลความปลอดภัยผู้ต้องหา ในวันดังกล่าว ซึ่งห้องทำงานของผู้ควบคุมอยู่หน้าห้องควบคุมผู้ต้องหา เมื่อสิบตำรวจตรีสามใส่กุญแจห้อง ควบคุมโดยนายหนึ่งและนายสองอยู่ภายในแล้วสิบตำรวจตรีสามก็ออกจากสถานีตำรวจไปเที่ยวห้างสรรพสินค้า เพราะนัดกับแฟนไว้ทั้งที่ยังไม่ออกเวร ต่อมาไฟฟ้าลัดวงจรจนเกิดเหตุเพลิงไหม้ในสถานีตำรวจและลุกลาม ไปยังห้องควบคุมผู้ต้องหาในสถานีตำรวจ นายหนึ่งและนายสองตะโกนร้องขอความช่วยเหลือเป็นเวลานาน จึงมีพลเมืองดีเอาขวานมาฟันกุญแจออกและช่วยพานายหนึ่งออกไปได้โดยปลอดภัย เมื่อจะเข้าไปช่วย นายสองปรากฏว่าไฟลุกโหมแรงมากจนไม่อาจเข้าไปช่วย นายสองถูกไฟคลอกตาย
|
ให้วินิจฉัยว่า สิบตำรวจตรีสามมีความผิดต่อนายหนึ่งและนายสองหรือไม่เพียงใด
|
คำตอบ การที่สิบตำรวจตรีสามได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาให้อยู่เวรเฝ้าห้องควบคุม ผู้ต้องหา สิบตำรวจตรีสามมีหน้าที่โดยตรงในการควบคุมและดูแลความปลอดภัยของผู้ต้องหาที่ถูก ควบคุมอยู่ แต่สิบตำรวจตรีสามออกจากสถานีตำรวจไปเที่ยวทั้งที่ยังไม่ออกเวร เป็นการไม่อยู่ปฏิบัติ หน้าที่โดยปราศจากเหตุอันสมควร จึงเป็นการกระทำโดยงดเว้นการที่จักต้องกระทำเพื่อป้องกันผล คืออันตรายที่อาจเกิดขึ้นแก่ชีวิตของนายสอง การไม่อยู่ปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวของสิบตำรวจตรีสาม จึงถือว่าเป็นการกระทำโดยงดเว้นตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๕๙ วรรคท้ายแล้ว
การไม่อยู่ปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวของสิบตำรวจตรีสามเป็นการกระทำโดยปราศจากความระมัด ระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามภาวะวิสัยและพฤติการณ์และสิบตำรวจตรีสามอาจ ใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่ การกระทำของสิบตำรวจตรีสามจึงเป็น การกระทำโดยประมาทตามมาตรา ๕๙ วรรคสี่
แม้มีเหตุเพลิงไหม้ทำให้เกิดผลคือความตายของนายสองด้วย แต่ก็ไม่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่าง การกระทำโดยประมาทของสิบตำรวจตรีสามและผลคือความตายของนายสองขาดตอนลง เพราะถ้า สิบตำรวจตรีสามอยู่ปฏิบัติหน้าที่ สิบตำรวจตรีสามย่อมช่วยเหลือนายสองได้ทัน และนายสองจะ ไม่ถึงแก่ความตาย เนื่องจากสิบตำรวจตรีสามมีหน้าที่ทำงานอยู่หน้าห้องควบคุม ต้องถือว่าความตาย ของนายสองเป็นผลโดยตรงจากการกระทำโดยประมาทของสิบตำรวจตรีสาม และเหตุไฟไหม้ก็เป็น เหตุแทรกแซงที่วิญญูชนย่อมคาดหมายได้ สิบตำรวจตรีสามจึงต้องรับผิดในผลคือความตายของ นายสอง สิบตำรวจตรีสามจึงมีความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้นายสองถึงแก่ความตาย (ฎีกาที่ ๗๕๘๑/๒๕๖๑) สำหรับความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานละเว้นจากการปฏิบัติหน้าที่เพื่อให้บุคคลอื่นได้รับความ เสียหายตามมาตรา ๑๕๗ นั้น การกระทำจะครบองค์ประกอบความผิดในฐานนี้จะต้องมีเจตนาพิเศษ เพื่อให้บุคคลอื่นได้รับความเสียหายโดยตรง การจะถือว่ามีเจตนาพิเศษจะมีได้เฉพาะกรณีกระทำ โดยมีเจตนาประสงค์ต่อผลเท่านั้น การกระทำโดยประมาทถือว่าไม่มีเจตนาพิเศษ เมื่อการกระทำสิบตำรวจตรีสามเป็นเพียงการกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับความเสียหายซึ่งก็คือนายสอง ถึงแก่ความตาย สิบตำรวจตรีสามไม่มีเจตนาพิเศษเพื่อให้บุคคลอื่นได้รับความเสียหาย สิบตำรวจ ตรีสามจึงไม่มีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานละเว้นจากการปฏิบัติหน้าที่เพื่อให้บุคคลอื่นได้รับความ เสียหายตามมาตรา ๑๕๗ (เทียบฎีกาที่ ๑๒๔๐/๒๕๐๔ ประชุมใหญ่)
แม้สิบตำรวจตรีสามจะมีความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้นายสองถึงแก่ความตาย ซึ่งต้องถือว่าเป็นการกระทำโดยประมาทต่อนายหนึ่งด้วย แต่การที่พลเมืองดีช่วยนายหนึ่งจนปลอดภัย สิบตำรวจตรีสามจึงไม่มีความรับผิดทางอาญาต่อนายหนึ่งฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่น ถึงแก่ความตาย เพราะการกระทำโดยประมาทของสิบตำรวจตรีสามมิได้เกิดผลต่อนายหนึ่ง นอกจาก นี้การกระทำของสิบตำรวจตรีสามยังไม่เป็นการพยายามกระทำความผิดต่อนายหนึ่งอีกด้วย เพราะ การกระทำโดยประมาทไม่มีการพยายามกระทำความผิด เนื่องจากการพยายามกระทำความผิดมีได้ เฉพาะการกระทำโดยเจตนา
|
อาญา
|
ข้อสังเกต คำพิพากษาฎีกาตามคำถามข้อนี้ โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗, ๒๘๘ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ ความผิดฐานอื่นให้ยก โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๑ ความผิดฐานอื่นให้ยก จำเลยฎีกา โดยโจทก์มิได้ฎีกา การที่ ศาลอุทธรณ์ตัดสินว่าจำเลยไม่ผิดมาตรา ๑๕๗ โจทก์ไม่ฎีกา ฎีกา ศาลฎีกาจึงวินิจฉัยเพียงประเด็นตามมาตรา ๒๙๑ โดยศาลฎีกามิได้วินิจฉัยความผิดตามมาตรา ๑๕๗ เพราะคดีนี้ไม่มีประเด็นขึ้นมาศาลฎีกาในความผิด มาตรา ๑๕๗ หากนำข้อเท็จจริงนี้มาอออกข้อสอบผู้ช่วยผู้พิพากษาแล้วถามว่ามีความผิดฐานใดหรือไม่ เพียงใด ธงคำตอบอาจจะต้องตอบถึงมาตรา ๑๕๗ ด้วยซึ่งยุติไปในชั้นศาลอุทธรณ์ซึ่งก็เคยมีคำพิพากษา ฎีกา ๑๒๔๐/๒๕๐๔ ประชุมใหญ่ วินิจฉัยว่า มาตรา ๒๒๘ บัญญัติว่า “ผู้ใดกระทำด้วยประการใด ๆ เพื่อให้เกิดอุทกภัย....ถ้าการกระทำนั้นน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่นหรือทรัพย์ของผู้อื่น...... ศาลฎีกา โดยที่ประชุมใหญ่เห็นว่า เพื่อให้เกิดอุทกภัยตามมาตรานี้ จำเลยจะต้องมีเจตนาให้เกิดอุทกภัยโดยตรง จะยกเอาการเล็งเห็นผลของการกระทำตามมาตรา ๕๙ วรรคสอง มาใช้ไม่ได้ ซึ่งศาลอุทธรณ์คงวินิจฉัยตาม บรรทัดฐานฎีกานี้ ก็คือเจตนาพิเศษจะมีได้ เฉพาะกรณีจำเลยจะต้องมีเจตนาให้เกิดอุทกภัยโดยตรง จะยก เอาการเล็งเห็นผลของการกระทำตามมาตรา ๕๙ วรรคสอง มาใช้กับเจตนาพิเศษไม่ได้ เมื่อเล็งเห็นผลถือว่า ไม่มีเจตนาพิเศษ ประมาทก็ต้องถือว่าไม่มีเจตนาพิเศษ เพราะเจตนาพิเศษมีได้เฉพาะเจตนาประสงค์ต่อผล เท่านั้น
ตามฎีกานี้มี ๓ ประเด็น ๑. เป็นการกระทำโดยงดเว้น เพราะจำเลยมีหน้าที่โดยตรง ๒. เป็นการ กระทำโดยประมาท ๓. ความตายของผู้ตายเป็นผลโดยตรงจากการกระทำโดยประมาทของจำเลย อ่านฎีกา แล้วต้องตอบให้ครบ ๓ ประเด็น การที่คำถามเพิ่มนายหนึ่งมาก็ต้องการถามว่า ประมาทไม่มีพยายามเพราะ นายหนึ่งไม่ตาย และเพิ่มมาตรา ๑๕๗ ที่ยุติในชั้นอุทธรณ์ไปแล้ว ถ้าตอบมาเพียงว่าจำเลยกระทำ โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย จะได้ไม่เกิน ๓ คะแนน นี่คือการเรียนและการอ่านฎีกาอย่าง เข้าใจ โดยวิเคราะห์ปัญหาตามโครงสร้างความรับผิดทางอาญาซึ่งคำตอบข้อนี้วินิจฉัยไว้ครบ อยู่ที่นักศึกษา จะอ่านแล้ววิเคราะห์ปัญหาได้ครบหรือไม่ คำพิพากษาฎีกาที่ ๗๕๘๑/๒๕๖๑ การที่จำเลยมีหน้าที่โดยตรงในการควบคุมและดูแลความ ปลอดภัยของผู้ต้องหา แต่ไม่อยู่ปฏิบัติหน้าที่โดยปราศจากเหตุอันสมควร จึงเป็นการกระทำโดยงดเว้นการที่จักต้องกระทำเพื่อป้องกันผลคือ อันตรายที่อาจเกิดขึ้นแก่ชีวิตของผู้ตาย เมื่อจำเลยกระทำโดยปราศจาก ความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามภาวะวิสัยและพฤติการณ์และจำเลยอาจใช้ความ ระมัดระวังเช่นว่านั้นได้แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำโดยประมาท แม้มี เหตุเพลิงไหม้ทำให้เกิดผลคือความตายของผู้ตายด้วย ก็ไม่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำโดยประมาท ของจำเลยและผลคือความตายของผู้ตายขาดตอนลง เพราะถ้าจำเลยอยู่ปฏิบัติหน้าที่ย่อมช่วยเหลือผู้ตาย ได้ทันเนื่องจากห้องทำงานของจำเลยอยู่หน้าห้องขังเยาวชนและติดกับห้องขังหญิง ความตายของผู้ตาย จึงเป็นผลโดยตรงจากการกระทำโดยประมาทของจำเลย
คำพิพากษาฎีกา ๑๒๔๐/๒๕๐๔ (ประชุมใหญ่) มาตรา ๒๒๘ บัญญัติว่า “ผู้ใดกระทำด้วย ประการใด ๆ เพื่อให้เกิดอุทกภัย ถ้าการกระทำนั้นน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่นหรือทรัพย์ของ ผู้อื่น ..... เห็นว่า เพื่อให้เกิดอุทกภัยตามมาตรานี้ จำเลยจะต้องมีเจตนาให้เกิดอุทกภัยโดยตรง จะยก เอาการเล็งเห็นผลของการกระทำตามมาตรา ๕๙ วรรคสอง มาใช้ไม่ได้
| null |
78
| 2
|
นายดำทำพินัยกรรมเอกสารฝ่ายเมืองโดยถูกต้องเมื่อวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘ ยกทรัพย์สินทั้งหมดที่ทำมาหาได้ร่วมกันที่มีชื่อนายดำเป็นเจ้าของบัญชีเงินฝากธนาคาร ๒๐ ล้านบาท ให้แก่นางแดงคู่สมรสโดยชอบด้วยกฎหมาย ต่อมาวันที่ ๑๔ เมษายน ๒๕๖๘ นายดำทราบมาว่านางแดงแอบไปมีเพศสัมพันธ์กับชายอื่น นายดำเปลี่ยนใจยกทรัพย์สินทั้งหมดที่ทำมาหาได้ร่วมกันที่มีชื่อนายดำเป็นเจ้าของบัญชีเงินฝากธนาคาร ๒๐ ล้านบาท ให้แก่นายเขียวน้องชาย นายดำจึงพิมพ์ข้อความตอนบนตรงกลางมีหัวข้อพิมพ์ว่า หนังสือพินัยกรรม จากนั้นมีการพิมพ์ตัวหนังสือแล้วเว้นช่องว่างให้ผู้ทำพินัยกรรมเขียนหรือกรอกข้อความเกี่ยวกับสถานที่ วัน เดือน ปี ที่ทำพินัยกรรม ชื่อ ที่อยู่ของนายดำ และความประสงค์ในการยกทรัพย์สินทั้งหมดที่ทำมาหาได้ร่วมกันที่มีชื่อนายดำเป็นเจ้าของบัญชีเงินฝากธนาคาร ๒๐ ล้านบาท ให้แก่นายเขียว ซึ่งตามเอกสารปรากฎว่านายดำได้เขียนรายละเอียดดังกล่าวด้วยลายมือ จากนั้นตอนท้ายมีข้อความพิมพ์ด้วยตัวพิมพ์สรุปได้ว่า นายดำได้พิมพ์ข้อความที่เป็นตัวพิมพ์ โดยได้อ่านเข้าใจข้อความที่เป็นตัวพิมพ์ทั้งหมดเห็นว่าถูกต้องตามเจตนาทุกประการ โดยไม่มีผู้ใดข่มขู่ จึงได้เขียนข้อความที่เป็นตัวกลางลงในหนังสือพินัยกรรมฉบับนี้ด้วยตนเองขณะที่มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ทุกประการ นายดำสมัครใจทำหนังสือนี้เอง ปราศจากบุคคคลอื่นใดข่มขู่หรือทำโดยสำคัญผิด หรือถูกฉ้อฉลแต่อย่างใด โดยได้ทำหนังสือพินัยกรรมนี้ขึ้นไว้ ๔ ฉบับ มีข้อความถูกต้องตรงกันและเก็บรักษาไว้ที่นายเขียว โดยลงลายมือชื่อนายดำไว้ในช่องที่พิมพ์ว่า ผู้ทำพินัยกรรม และผู้พิมพ์/ผู้เขียน ต่อมาเมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๘ นายดำถึงแก่ความตาย
|
ให้วินิจฉัยว่า เงินฝากธนาคาร ๒๐ ล้านบาทในชื่อของนายดำจะตกแก่ผู้ใด
|
คำตอบ เมื่อวันที่ ๑๔ เมษายน ๒๕๖๘ นายดำพิมพ์และเขียนพินัยกรรมเขียนหรือกรอกข้อความ
เกี่ยวกับสถานที่ วัน เดือน ปี ที่ทำพินัยกรรม ชื่อ ที่อยู่ของนายดำ และความประสงค์ในการยกทรัพย์สินทั้งหมดที่ทำมาหาได้ร่วมกันที่มีชื่อนายดำเป็นเจ้าของบัญชีเงินฝากธนาคาร ๒๐ ล้านบาท ให้แก่นายเขียว โดยลงลายมือชื่อนายดำไว้ในช่องที่พิมพ์ว่า ผู้ทำพินัยกรรม และผู้พิมพ์เขียน จึงมีลักษณะเป็นคำสั่งสุดท้ายที่ผู้ตายแสดงเจตนากำหนดการเผื่อตาย ในเรื่องทรัพย์สินของตนไว้โดยต้องการยกให้แก่บุคคลตามที่ระบุไว้ อันจะเกิดเป็นผลบังคับได้ตามกฎหมายเมื่อตนตายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๔๖ และ ๑๖๔๗ จึงเป็นพินัยกรรม แม้ข้อความบางส่วนจะเป็นการพิมพ์ แต่ก็มีการเขียนส่วนที่เป็นสาระสำคัญ จึงเข้าลักษณะเป็นพินัยกรรมแบบเอกสารเขียนเองทั้งฉบับตามมาตรา ๑๖๕๗ แม้พินัยกรรมฉบับลงวันที่ ๑๔ เมษายน ๒๕๖๘ ของนายดำยกเงินฝากธนาคารที่เป็นมรดกให้แก่นายเขียวซึ่งขัดกับพินัยกรรมฉบับลงวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘ ซึ่งเป็นพินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมือง แต่นายดำผู้ทำพินัยกรรมจะเพิกถอนพินัยกรรมของตนทั้งหมดในเวลาใดก็ได้ตามมาตรา ๑๖๙๓ โดยการจะเพิกถอนพินัยกรรมฉบับก่อนเสียทั้งหมดด้วยการทำพินัยกรรมฉบับหลัง การเพิกถอนจะสมบูรณ์ต่อเมื่อพินัยกรรมฉบับหลังนั้นได้ทำตามแบบใดแบบหนึ่งที่กฎหมายบัญญัติไว้ตามมาตรา ๑๖๙๔ เมื่อพินัยกรรมฉบับลงวันที่ ๑๔ เมษายน ๒๕๖๘ ของนายดำยกเงินฝากธนาคารที่เป็นมรดกให้แก่นายเขียวสมบูรณ์เป็นพินัยกรรมแบบเอกสารเขียนเองทั้งฉบับดังที่วินิจฉัยมาแล้ว จึงมีผลเป็นการเพิกถอนพินัยกรรมฉบับที่ยกเงินฝากธนาคารที่เป็นมรดกให้แก่นางแดง ทรัพย์มรดกของนายดำจึงตกแก่นายเขียว การที่นายดำและนางแดงเป็นคู่สมรสกันเมื่อทำมาหาได้เงิน ๒๐ ล้านบาท แม้จะมีชื่อนายดำเพียงคนเดียวแต่ก็เป็นทรัพย์สินที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส ย่อมเป็นสินสมรสระหว่างนายดำและนางแดงคนละครึ่งตามมาตรา ๑๔๗๔ (๑) นางแดงมีสิทธิในเงินฝากจำนวน ๑๐ ล้านบาทในฐานะเป็นสินสมรส นายดำคู่สมรสไม่มีอำนาจทำพินัยกรรมยกสินสมรสที่เกินกว่าส่วนของตนให้แก่บุคคลใดได้ ตามมาตรา ๑๔๘๑ นายดำมีสิทธิทำพินัยกรรมยกทรัพย์มรดกดังกล่าวให้แก่ผู้รับพินัยกรรมเพียง ๑๐ ล้านบาท ไม่อาจทำพินัยกรรมยกสินสมรสของนางแดงให้แก่นายเขียว พินัยกรรมที่นายแดงทำจึงมีผลเพียงทรัพย์มรดกของตน ๑๐ ล้านบาท เงินฝากธนาคาร ๒๐ ล้านบาท ในชื่อของนายดำจะตกแก่นางแดง ๑๐ ล้านบาทในฐานะเป็นสินสมรส และตกเป็นของนายเขียว ๑๐ ล้านบาทในฐานะผู้รับพินัยกรรม
คำพิพากษาฎีกาที่ ๔๐๔๔/๒๕๖๗ แม้เอกสารหมาย ค.๔ จะมีข้อความบางตอนเป็นตัวพิมพ์
โดยตอนบนตรงกลางมีหัวข้อพิมพ์ว่า หนังสือพินัยกรรม จากนั้นมีการพิมพ์ตัวหนังสือแล้วเว้นช่องว่างให้
ผู้ทำพินัยกรรมเขียนหรือกรอกข้อความเกี่ยวกับสถานที่ วัน เดือน ปี ที่ทำพินัยกรรม ชื่อ ที่อยู่ของผู้ทำ
พินัยกรรม และความประสงค์ในการจัดการทรัพย์สิน ซึ่งตามเอกสารปรากฎว่าผู้ตายได้เขียนรายละเอียด
ดังกล่าวด้วยลายมือ จากนั้นตอนท้ายมีข้อความพิมพ์ด้วยตัวพิมพ์สรุปได้ว่า ผู้ตายได้พิมพ์ข้อความที่เป็นตัวพิมพ์ โดยได้อ่านเข้าใจข้อความที่เป็นตัวพิมพ์ทั้งหมดเห็นว่าถูกต้องตามเจตนาทุกประการ โดยไม่มีผู้ใดข่มขู่ จึงได้เขียนข้อความที่เป็นตัวกลางลงในหนังสือพินัยกรรมฉบับนี้ด้วยตนเองขณะที่มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ทุกประการ ผู้ตายสมัครใจทำหนังสือนี้เอง ปราศจากบุคคลอื่นใดข่มขู่ หรือทำโดยสำคัญผิด หรือถูกฉ้อฉลแต่อย่างใด โดยได้ทำหนังสือพินัยกรรมนี้ขึ้นไว้ ๔ ฉบับ มีข้อความถูกต้องตรงกันและเก็บรักษาไว้ที่ผู้คัดค้าน และมีลายมือชื่อผู้ตายลงไว้ในช่องที่พิมพ์ว่า ผู้ทำพินัยกรรม และผู้พิมพ์/ผู้เขียน เอกสารหมาย ค.๔ จึงมีลักษณะเป็นคำสั่งสุดท้ายที่ผู้ตายแสดงเจตนากำหนดการเผื่อตาย ในเรื่องทรัพย์สินของตนไว้ โดยต้องการยกให้แก่บุคคลต่าง ๆ ตามที่ระบุไว้ อันจะเกิดเป็นผลบังคับได้ตามกฎหมายเมื่อตนตายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๔๖ และ ๑๖๔๗ จึงเป็นพินัยกรรมและเข้าลักษณะเป็นพินัยกรรมแบบเอกสารเขียนเองทั้งฉบับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๕๗
|
แพ่ง
| null | null |
78
| 3
|
นายหนึ่งตกลงหย่ากับนางสอง โดยทำบันทึกข้อตกลงว่า นายหนึ่งจะแบ่งค่าเช่าบ้านเลขที่ ๑
และบ้านเลขที่ ๒ ซึ่งมีชื่อนายหนึ่งเป็นเจ้าของและให้เช่า (ซึ่งบ้านและที่ดินอยู่ติดแม่น้ำกก จังหวัดเชียงราย)ให้แก่นางสองครึ่งหนึ่งจนกว่านางสองจะถึงแก่ความตาย ต่อมาน้ำป่าพัดที่ดินและบ้านเลขที่ ๑ พังลงแม่น้ำกกนายหนึ่งจึงไม่ได้รับค่าเช่าอีกต่อไป และนายหนึ่งขายบ้านเลขที่ ๒ ให้แก่บุคคลภายนอกจึงไม่ได้ค่าเช่าอีกต่อไปและนายหนึ่งเช่ารถยนต์จากนายสามตกลงจะคืนให้แก่นายสามวันที่ ๓ มกราคม ๒๕๖๘ แต่นายหนึ่งจะไปเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ในวันที่ ๕ จึงไม่นำรถยนต์ไปคืนนายสามตามกำหนด ตั้งใจว่าวันที่ ๕ ไปเที่ยวกลับมาถึงจะนำรถยนต์ไปคืน แต่ในคืนวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๖๘ นายสี่ขับรถสิบล้อโดยประมาทพุ่งเข้ามาในบ้านนายหนึ่งชนรถยนต์ที่นายหนึ่งเช่ามาเสียหายทั้งคัน
|
ให้วินิจฉัยว่า นางสองจะเรียกค่าเสียหายจากการที่ตนไม่ได้รับส่วนแบ่งค่าเช่าจากนายหนึ่งจากบ้าน ทั้งสองหลังได้หรือไม่ และนายสามจะเรียกค่าเสียหายจากการที่รถยนต์พังทั้งคันจากนายหนึ่งได้หรือไม่
|
คำตอบ นายหนึ่งตกลงแบ่งค่าเช่าบ้านเลขที่ ๑ และบ้านเลขที่ ๒ ให้แก่นางสองครึ่งหนึ่ง การที่น้ำป่าพัดที่ดินและบ้านเลขที่ ๑ พังลงแม่น้ำกก เมื่อไม่มีบ้านเลขที่ ๑ ซึ่งเป็นวัตถุแห่งการเช่า นายหนึ่งย่อมไม่ได้รับ ค่าเช่าบ้านเลขที่ ๑ อีกต่อไป การที่นายหนึ่งไม่ได้รับค่าเช่าย่อมไม่มีค่าเช่าบ้านเลขที่ ๑ เพื่อแบ่งให้นางสองอีกต่อไป เป็นกรณีที่การชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยเพราะพฤติการณ์อันใดอันหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นภายหลังที่ได้ก่อหนี้และซึ่งนายหนึ่งลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดชอบ ลูกหนี้เป็นอันหลุดพ้นจากการชำระหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๑๙ นางสองจึงไม่อาจเรียกค่าเสียหายจากส่วนแบ่งค่าเช่าจากนายหนึ่งสำหรับบ้านเลขที่ ๑ นายหนึ่งขายบ้านเลขที่ ๒ ให้แก่บุคคลภายนอกจึงไม่ได้ค่าเช่าอีกต่อไป ทั้งที่นายหนึ่งตกลงแบ่งค่าเช่าบ้านเลขที่ ๒ ให้แก่นางสองครึ่งหนึ่ง แม้จะไม่มีข้อตกลงว่านายหนึ่งจะไม่ขายบ้านเลขที่ ๒ และนายหนึ่งซึ่งเป็นเจ้าของบ้านย่อมมีสิทธิขายบ้านเลขที่ ๒ ได้ แต่นายหนึ่งขายบ้านเลขที่ ๒ ก่อนนางสองถึงแก่ความตายอันเป็นสาระสำคัญของข้อตกลงที่นางสองมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งค่าเช่าจนถึงแก่ความตายย่อมเป็นการทำให้การชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยจะทำได้ เพราะพฤติการณ์ซึ่งนายหนึ่งลูกหนี้ต้องรับผิดชอบนายหนึ่งจึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นางสองเพื่อค่าเสียหายอย่างใด ๆ อันเกิดแต่การไม่ชำระหนี้นั้นตามมาตรา ๒๑๘ วรรคหนึ่ง นางสองจึงเรียกค่าเสียหายจากการที่ตนไม่ได้รับส่วนแบ่งค่าเช่าบ้านเลขที่ ๒ จากนายหนึ่งได้ (คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๗๘๑/๒๕๖๗)
นายหนึ่งเช่ารถยนต์จากนายสามตกลงจะคืนให้แก่นายสามวันที่ ๓ มกราคม ๒๕๖๘ เป็นการกำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทิน และลูกหนี้มิได้ชำระหนี้ตามกำหนด ลูกหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัดโดยไม่ต้องเตือนเลยตามมาตรา ๒๐๔ วรรคสอง ในระหว่างที่นายหนึ่งผิดนัดไม่คืนรถยนต์ให้แก่นายสาม โดยคืนวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๖๘ นายสี่ขับรถสิบล้อโดยประมาทพุ่งเข้ามาในบ้านชนรถยนต์ที่นายหนึ่งเช่ามาเสียหายทั้งคัน นายหนึ่งลูกหนี้จะต้องรับผิดชอบในความเสียหายบรรดาที่เกิดแต่ความประมาทเลินเล่อในระหว่างเวลาที่ตน ผิดนัด ทั้งจะต้องรับผิดชอบในการที่การชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยเพราะอุบัติเหตุอันเกิดขึ้นในระหว่างเวลาที่ผิดนัดนั้นด้วยตามมาตรา ๒๑๗ นายสามจึงเรียกค่าเสียหายจากการที่รถยนต์พังทั้งคันจากนายหนึ่งได้
คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๗๘๑/๒๕๖๗ ข้อตกลงตามสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับจำเลยในคดีฟ้องหย่าและแบ่งสินสมรสเรื่องก่อน กำหนดให้ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย และจำเลยตกลงแบ่งเงินค่าเช่าที่เกิดจากการให้เช่าที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ในอัตรา ๔๐ ส่วนใน ๑๐๐ ส่วน ของค่าเช่าที่เกิดจากการให้เช่าจากบริษัท ป. หรือบริษัทอื่นที่ประกอบกิจการด้านอุตสาหกรรมตลอดไปจนกว่าโจทก์จะถึงแก่ความตายก่อให้เกิดหนี้ผูกพันระหว่างกัน ที่จำเลยจะต้องชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามเงื่อนไขที่กำหนด แม้ไม่มีข้อกำหนดใดห้ามมิให้จำเลยขายที่ดินพิพาทในอันที่โจทก์จะนำมาใช้อ้างว่าจำเลยกระทำผิดข้อสัญญาประนีประนอมยอมความได้ และจำเลยในฐานะเจ้าของที่ดินพิพาทย่อมมีสิทธิขายที่ดินพิพาทได้อย่างอิสระก็ตาม แต่เมื่อในเวลาที่จำเลยขายที่ดินพิพาทนั้นโจทก์ยังไม่ถึงแก่ความตายอันเป็นเงื่อนไขซึ่งเป็นสาระสำคัญของข้อตกลง ที่โจทก์มีสิทธิได้รับส่วนแบ่งของเงินค่าเช่าจนกว่าจะถึงแก่ความตาย ย่อมเป็นการทำให้การชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยจะทำได้ เพราะพฤติการณ์อันใดอันหนึ่งซึ่งจำเลยผู้เป็นลูกหนี้ต้องรับผิดชอบ จำเลยจึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์เพื่อค่าเสียหายอย่างใด ๆ อันเกิดแต่การไม่ชำระหนี้นั้น ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๒๑๘ วรรคหนึ่ง
|
แพ่ง
|
เมื่อนักศึกษาอ่านคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๗๘๑/๒๕๖๗ แล้วรู้สึกว่าน่าสนใจ ถ้าเข้าใจหลัก
กฎหมายดีแล้ว นักศึกษาควรจะคิดต่อไปว่าถ้าอาจารย์จะออกข้อสอบ จะออกอย่างไร จากคำถามนี่เป็น
การออกเรื่องการชำระหนี้เป็นการอันพ้นวิสัยทั้งมาตรา ๒๑๗, ๒๑๘, และ ๒๑๙ ถ้าอ่านตำรามาแล้วเข้าใจก็จะตอบได้ทั้งสามประเด็น แต่ถ้าอ่านแล้วจำมาอีกสองประเด็นก็จะตอบไม่ได้ ข้อความในคำพิพากษาฎีกาที่ว่า "แม้จะไม่มีข้อตกลงว่านายหนึ่งจะไม่ขายบ้านเลขที่ ๒ และนายหนึ่งซึ่งเป็นเจ้าของบ้านย่อมมีสิทธิขายบ้านเลขที่ ๒ ได้ แต่นายหนึ่งขายบ้านเลขที่ ๒ ก่อนนางสองถึงแก่ความตายอันเป็นสาระสำคัญของข้อตกลงที่นางสองมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งค่าเช่าจนถึงแก่ความตาย" ข้อความนี้ในฎีกาจะไม่มีในคำถามและในกฎหมายแต่นักศึกษาต้องรู้ว่านี่คือเหตุผลสำคัญในฎีกาที่ต้องจำไปตอบข้อสอบ การจำแบบนี้อาจารย์มองว่าต้องเข้าใจก่อนแล้วค่อยจำ ไม่ใช่จำเป็นนกแก้วนกขุนทอง
| null |
78
| 3
|
นายหนึ่งมอบบัตรเครดิตให้นางสาวสองซึ่งเป็นลูกจ้างของตนพร้อมทั้งบอกรหัสเอทีเอ็ม เพื่อใช้กดเงินสด ๑๐,๐๐๐ บาท นางสาวสองนำบัตรเครดิตดังกล่าวไปกดรหัสเพื่อถอนเงินสด ๑๐,๐๐๐ บาท และ ๑๕,๐๐๐ บาทรวม ๒๕,๐๐๐ บาท แล้วนำเงินเพียง ๑๐,๐๐๐ บาท ไปมอบให้นายหนึ่ง โดยนางสาว สองแอบจดชื่อ นามสกุล เดือนปีหมดอายุ หมายเลขบัตรเครดิต และหมายเลขด้านหลังบัตรเครดิตไว้ด้วย แล้วนางสาวสองได้สั่งซื้อตั๋วเครื่องบินทางอินเตอร์เน็ต ระบุชื่อนายหนึ่งและนางสาวสองเป็นผู้เดินทางโดยสั่งซื้อ ทางอินเตอร์เน็ตด้วยการตัดบัญชีบัตรเครดิตของนายหนึ่ง โดยนางสาวสองพิมพ์ชื่อ นามสกุล เดือนปีหมดอายุ หมายเลขบัตรเครดิต และหมายเลขด้านหลังบัตรเครดิตสามตัวสุดท้ายเพื่อสั่งซื้อตั๋วเครื่องบินโดยนายหนึ่ง และนางสาวสองเป็นผู้โดยสาร โดยการชำระเงินด้วยบัตรเครดิตของนายหนึ่งสำเร็จ
|
ให้วินิจฉัยว่า นางสาวสองมีความรับผิดทางอาญาฐานใด
|
คำตอบ การที่นางสาวสองนำบัตรเครดิตไปกดรหัสเพื่อถอนเงินตามคำสั่งของนายหนึ่ง ๑๐,๐๐๐ บาท ไม่เป็นการใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยไม่ชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๙/๕ เพราะ ไม่ได้เป็นการใช้ในประการที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน
แต่นางสาวสองนำบัตรเครดิตดังกล่าวไปถอนเงินสดอีก ๑๕,๐๐๐ บาท จึงเป็นการใช้บัตร อิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยไม่ชอบ ในประการที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่นายหนึ่ง เพราะเป็น การกระทำนอกเหนือคำสั่งของนายหนึ่ง การใช้บัตรถอนเงิน ๑๕,๐๐๐ บาท จึงเป็นความผิดฐานใช้ บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยไม่ชอบตามมาตรา ๒๖๙/๕ เมื่อบัตรดังกล่าวสามารถใช้เบิกถอนเงินสดได้ นางสาวสองจึงต้องระวางโทษหนักกว่ามาตรา ๒๖๙/๕ กึ่งหนึ่ง ตามมาตรา ๒๖๙/๗
นอกจากนี้การที่นางสาวสองกดเงินเกินกว่าคำสั่ง ๑๕,๐๐๐ บาท เงินดังกล่าวก็เป็นของนายหนึ่ง ซึ่งเป็นนายจ้าง เมื่อนางสาวสองเอาไว้ไม่ยอมมอบให้นายหนึ่ง ก็เป็นการเอาทรัพย์ที่เป็นของนายจ้างไป โดยเจตนาทุจริตแล้ว นางสาวสองจึงมีความผิดฐานลักทรัพย์ของนายจ้างตามมาตรา ๓๓๕ (๑๑) (ฎีกาที่ ๑๑๕๑ - ๑๑๕๓/๒๕๖๔)
นอกจากนี้การที่นางสาวสองได้สั่งซื้อตั๋วเครื่องบินทางอินเตอร์เน็ตนั้น เมื่อนางสาวสองพิมพ์ชื่อ นามสกุล เดือนปีหมดอายุ หมายเลขบัตรเครดิต และหมายเลขด้านหลังบัตรเครดิตสามตัวสุดท้าย ของบัตรเครดิตของ นายหนึ่ง แม้ข้อมูลที่ปรากฏบนบัตรเครดิตนั้น ไม่เป็น “บัตรอิเล็กทรอนิกส์” ตามมาตรา ๑ (๑๔) (ข) เพราะมีการออกวัตถุอื่นใดคือบัตรเครดิตให้แก่นายหนึ่ง แต่การกระทำใดเป็นการใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ ไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้จึงต้องพิจารณาว่าการกระทำนั้นเป็นวิธีใช้โดยทั่วไปของบัตรอิเล็กทรอนิกส์ ชนิดนั้นหรือไม่ ไม่จำกัดว่าหากเป็น “บัตรอิเล็กทรอนิกส์” ตามมาตรา ๑ (๑๔) (ก) แล้ว การใช้จะ ต้องเป็นการใช้เอกสารหรือวัตถุอื่นใดที่ผู้ออกได้ออกให้โดยตรงเท่านั้น เพราะบัตรเครดิตก็สามารถใช้เฉพาะข้อมูดหรือรหัสได้เช่นเดียวกัน การที่นางสาวสองนำข้อมูลบัตรเครดิตของนายหนึ่งไปใช้ชำระค่า ตั๋วเครื่องบินทางอินเตอร์เน็ต ซึ่งเป็นวิธีใช้บัตรเครดิตโดยทั่วไปวิธีหนึ่ง จึงเป็นการใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ ของผู้อื่นโดยมิชอบ เมื่อบัตรดังกล่าวสามารถใช้ชำระค่าสินค้าหรือบริการแทนการชำระด้วยเงินสดได้ นางสาวสองจึงต้องระวางโทษหนักกว่ามาตรา ๒๖๙๗/๕ กึ่งหนึ่ง ตามมาตรา ๒๖๙/๗ (ฎีกาที่ ๓๕๐/๒๕๖๔)
|
อาญา
|
ข้อสังเกต คำตอบข้อนี้ในประเด็นการใช้ข้อมูลบนบัตรเครดิตซื้อตั๋วเครื่องบิน เดิมอาจารย์เคยวาง ธงคำตอบว่าไม่เป็นการใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยไม่ชอบ เพราะนางสาวสองไม่ได้นำบัตรเครดิตซึ่งเป็น บัตรอิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นวัตถุอื่นใดตามมาตรา ๑ (๑๔) (ก) มาใช้ ทั้งจะถือว่านางสาวสองใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ ที่เป็นข้อมูล รหัส หมายเลขบัญชี หมายเลขชุดทางอิเล็กทรอนิกส์ตามมาตรา ๑ (๑๔) (ข) ก็ไม่ได้ เพราะ ข้อมูลฯ ที่จะเป็นบัตรอิเล็กทรอนิกส์ตามมาตรา ๑ (๑๔) (ข) ต้องมิได้ออกเอกสารหรือวัตถุอื่นใดให้ จึงไม่เป็น ความผิดตามมาตรา ๒๖๙/๕ ที่อาจารย์เคยให้เหตุผลแบบนี้เนื่องจากบทนิยามระบุประเภทบัตรอิเล็กทรอนิกส์ ไว้แล้วว่า “บัตรอิเล็กทรอนิกส์มีรูปร่างมาตรา ๑ (๑๔) (ก)” และ “บัตรอิเล็กทรอนิกส์ไม่มีรูปร่างมาตรา ๑ (๑๔) (ข)” การใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์มีรูปร่างก็ควรจะนำตัวบัตรไปใช้ คดีนี้เป็นบัตรอิเล็กทรอนิกส์มีรูปร่าง แต่ไม่ได้ นำตัวบัตรไปใช้ อาจารย์เคยคิดว่าไม่ผิด แต่เป็นเพียงความเห็นทางวิชาการ การเรียนการสอบเนติบัณฑิต หากความเห็นทางวิชาการและคำพิพากษาฎีกาไม่ตรงกัน นักศึกษาต้องตอบตามคำพิพากษาฎีกา เพราะ การเรียนชั้นเนติบัณฑิตเป็นการเรียนกฎหมายในภาคปฏิบัติ คือการเรียนที่ผลทางกฎหมายยุติอย่างไรต้องตอบ ตามนั้น มิฉะนั้นจะไม่มีแนวทางในการยุติปัญหา ผลทางกฎหมายที่ยุติก็คือคำพิพากษาฎีกา การเรียนเนติบัณฑิต จึงยากกว่าการเรียนในระดับปริญญาตรี เพราะต้องรู้ทั้งหลักกฎหมายและต้องรู้ว่าศาลฎีกาตัดสินอย่างไรด้วย เมื่อฎีกาที่ ๓๕๐/๒๕๖๔ วางบรรทัดฐานว่า แม้จะเป็นบัตรอิเล็กทรอนิกส์มีรูปร่าง แต่ไม่นำตัวบัตรไปใช้ก็ เป็นความผิดซึ่งอาจารย์เห็นด้วยกับคำพิพากษาฎีกาว่าเป็นการตีความกฎหมายเหมาะสมกับสถานการณ์ความ เปลี่ยนแปลงอันรวดเร็วของเทคโนโลยีปัจจุบัน หากออกข้อสอบก็ต้องตอบตามบรรทัดฐานของศาลฎีกาดังกล่าว
ฎีกาที่ ๓๕๐/๒๕๖๔ บัตรเครดิตเป็น “บัตรอิเล็กทรอนิกส์” ตามนิยามแห่ง ป.อ. มาตรา ๑ (๑๔) (ก) ซึ่งผู้ออกได้ออกเอกสารคือบัตรเครดิตให้แก่ผู้มีสิทธิใช้ ส่วนข้อมูลบัตรเครดิต ได้แก่ หมายเลขบัตรเครดิต ชื่อผู้ถือ และวันหมดอายุ ซึ่งปรากฏอยู่บนบัตรเครดิตนั้น ไม่เป็น “บัตรอิเล็กทรอนิกส์” ตามนิยามแห่ง ป.อ. มาตรา ๑ (๑๔) (ข) อย่างไรก็ตามมาตรา ๑ (๑๔) เป็นเพียงบทนิยามว่าสิ่งใดเป็น “บัตรอิเล็กทรอนิกส์” ตาม ป.อ. แต่มิได้ระบุเกี่ยวกับวิธีใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ไว้โดยเฉพาะ การวินิจฉัยว่าการกระทำใดเป็นการใช้บัตร อิเล็กทรอนิกส์ จึงต้องพิจารณาว่าการกระทำนั้นเป้นวิธีใช้โดยทั่วไปของบัตรอิเล็กทรอนิกส์ชนิดนั้นหรือไม่โดยไม่จำจะดว่าหากเป็น "บัตรอิเล็กทรอนิกส์" ตามนิยามแห่ง ป.อ. มาตรา ๑ (๑๔) (ก) แล้ว การใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์จะต้องเป็นการใช้เอกสารหรือวัตถุอื่นใดที่ผู้ออกได้ออกให้โดยตรงเท่านั้น ดังจะเห็นได้จาก "บัตรอิเล็กทรอนิกส์" ตามนิยามแห่ง ป.อ. มาตรา ๑(๑๔) (ข) ที่ระบุว่า “...มีวิธีการใช้ทำนองเดียวกับ (ก)"
ทั้งที่ไม่มีการออกเอกสารหรือวัตถุอื่นใดไว้ให้ แสดงว่าบัตรอิเล็กทรอนิกส์ตามนิยามแห่ง ป.อ. มาตรา ๑ (๑๔) (ก) ย่อมสามารถใช้เฉพาะข้อมูลหรือรหัสได้เช่นเดียวกัน ด้วยเหตุนี้การวินิจฉัยว่าจำเลยใช้บัตรเครดิตของโจทก์โดยมิชอบหรือไม่ จึงต้องพิจารณาว่าการกระทำของจำเลยเป็นวิธีใช้บัตรเครดิตโดยทั่วไปหรือไม่ซึ่งในปัจจุบันการกรอกข้อมูลบัตรเครดิตเพื่อชำระค่าสินค้า ค่าบริการหรือหนี้อื่นแทนการชำระด้วยเงินสดผ่านทางเว็บไซต์ โดยผู้รับชำระไม่ต้องเห็นบัตรเครดิต เป็นวิธีใช้บัตรเครดิตโดยทั่วไปวิธีหนึ่ง การที่จำเลยนำข้อมูลบัตรเครดิตของโจทก์ไปใช้ชำระค่าบริการที่พักของจำเลยผ่านเว็บไซต์ อโกด้า ดอทคอม จึงเป็นการใช้บัตรเครดิตของโจทก์โดยมิชอบแล้ว
| null |
78
| 4
|
นายหนึ่งยืมรถตู้ของนายสองเพื่อจะไปเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ ระหว่างเดินทางขณะที่นายหนึ่ง
จอดรถรับประทานอาหารอยู่ในร้านอาหารข้างทางปรากฏว่านายสามและนายสี่ต่างขับรถยนต์โดยประมาทแล้วรถที่นายสามและนายสี่ขับไปชนรถตู้ของนายสองที่จอดไว้เสียหาย นายสองจ่ายค่าซ่อมรถตู้ ๑๐๐,๐๐๐ บาท เมื่อนายหนึ่งทราบก็ชำระเงินให้แก่นายสองไป ๑๐๐,๐๐๐ บาท
|
ให้วินิจฉัยว่า นายสองมีสิทธิเรียกร้องให้นายสามและนายสี่ชำระค่าซ่อมรถตู้ ๑๐๐,๐๐๐ บาท หรือไม่
|
คำตอบ นายสามและนายสี่ต่างขับรถยนต์โดยประมาทแล้วรถชนรถตู้ของนายสองที่จอดไว้เสียหาย เป็นการกระทำโดยผิดกฎหมายและประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้นายสองเจ้าของรถตู้ได้รับความเสียหาย
แก่ทรัพย์สินอันเป็นการกระทำละเมิด จึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการละเมิดนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๒๐ ซึ่งต้องถือว่านายสามและนายสี่ต่างฝ่ายต่างประมาทไม่ใช่ร่วมกันกระทำละเมิดตามมาตรา ๔๓๒ เพราะการร่วมกันกระทำละเมิดจะมีได้เฉพาะการกระทำโดยจงใจ ส่วนกระทำโดยประมาทไม่มีการร่วมกันกระทำ แต่การกระทำของนายสามและนายสี่ที่เป็นเหตุให้รถตู้ของนายสองที่จอดไว้เสียหายเป็นกรณีที่บุคคลหลายคนเป็นหนี้อันจะแบ่งกันชำระมิได้ บุคคลเหล่านั้นต้องรับผิดเช่นอย่างลูกหนี้ร่วมกันตามมาตรา ๓๐๑ นายสามและนายสี่จึงต้องร่วมกันรับผิดเช่นอย่างลูกหนี้ร่วมกันในการชำระหนี้ให้แก่นายสองเจ้าของรถตู้ (คำพิพากษาฎีกาที่ ๓๕๐๖/๒๕๕๑)
การที่นายหนึ่งยืมรถตู้ของนายสองนั้น การยืมใช้คงรูปตามมาตรา ๖๔๓ ให้ผู้ยืมต้องรับผิดต่อผู้ให้ยืมเฉพาะแต่ในกรณีผู้ยืมเอาไปใช้การอย่างอื่นนอกจากการอันเป็นปกติแก่ทรัพย์สินนั้นหรือนอกจากการอันปรากฏในสัญญา หรือเอาไปให้บุคคลภายนอกใช้สอย หรือเอาไปไว้นานกว่าที่ควรจะเอาไว้เท่านั้น แต่เหตุละเมิดที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของนายสามและนายสี่ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกสัญญายืม ดังนี้ นายหนึ่งในฐานะผู้ยืมจึงไม่ต้องรับผิดต่อนายสองผู้ให้ยืม แม้นายหนึ่งจะชำระเงินให้แก่นายสองไป ๑๐๐,๐๐๐ บาท นายหนึ่งก็ไม่อยู่ในฐานะที่จะรับช่วงสิทธิของนายสองเจ้าของทรัพย์ซึ่งเป็นผู้ให้ยืมที่จะเรียกร้องให้นายสามและนายสี่ผู้กระทำละเมิดรับผิดได้ เพราะการรับช่วงสิทธิจะมีได้ต่อเมื่อผู้รับช่วงสิทธิมีหนี้อันจะต้องรับผิดต่อเจ้าหนี้คือเจ้าของตามมาตรา ๒๒๙ (๓) (คำพิพากษาฎีกาที่ ๒๗๖๖/๒๕๕๑)
อนึ่ง การที่นายหนึ่งผู้ยืมชำระเงินให้แก่นายสองผู้ให้ยืมไป ๑๐๐,๐๐๐ บาท เป็นการชำระเงินไปโดย ไม่มีหน้าที่ต้องชำระดังที่วินิจฉัยมาแล้ว และไม่ใช่กรณีบุคคคลภายนอกเข้าชำระหนี้ละเมิดตามมาตรา ๓๑๔ จึงเป็นกรณีที่นายสองได้มาซึ่งทรัพย์สิ่งใดเพราะการที่นายหนึ่งชำระหนี้โดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้และเป็นทางให้นายหนึ่งเสียเปรียบ นายสองจำต้องคืนเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท ให้แก่นายหนึ่งในฐานลาภมิควรได้ตามมาตรา ๔๐๖ ซึ่งเป็นหนี้ระหว่างนายหนึ่งและนายสองอีกมูลหนี้หนึ่ง ไม่เกี่ยวกับมูลหนี้ละเมิดระหว่างนายสองและนายสามกับนายสี่ เมื่อยังไม่มีการชำระหนี้ละเมิดและไม่มีการรับช่วงสิทธิ นายสองยังเป็นเจ้าหนี้ในมูลละเมิดอยู่ นายสองจึงมีสิทธิเรียกร้องให้นายสามและนายสี่ร่วมกันชำระค่าซ่อมรถตู้ ๑๐๐,๐๐๐ บาท ได้พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๕ ต่อปีนับแต่วันทำละเมิด
|
แพ่ง
|
ข้อสังเกต ใครจำคำพิพากษาฎีกามาตอบอาจจะตกม้าตาย เพราะจะจำได้คุ้น ๆ ว่าฟ้องเรียกเงินไม่ได้
แต่คำถามข้อนี่เปลี่ยนให้เจ้าของรถตู้มาฟ้อง ไม่ใช่ผู้ยืมมาฟ้อง แต่หลักกฎหมายเหมือนเดิมคือผู้ยืมรับช่วงสิทธิมาฟ้องไม่ได้ โดยเจ้าของรถตู้ฟ้องได้
คำพิพากษาฎีกาที่ ๓๕๐๖/๒๕๕๑ แม้จะได้ความว่าเหตุเกิดจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ ๑
และที่ ๒ ร่วมกันและไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน แต่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รถยนต์ของโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก จึงต้องถือว่า จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ล้วนมีส่วนก่อให้เกิดความเสียหายดังกล่าวทั้งหมด จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ จึงต้องร่วมรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นอย่างลูกหนี้ร่วม โดยจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ หรือคนใดคนหนึ่งต้องรับผิดต่อโจทก์เต็มจำนวนความเสียหาย โดยจะแบ่งความรับผิดต่อโจทก์หาได้ไม่ จำเลย ที่ ๓ ผู้รับประกันภัยจึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ ในผลแห่งละเมิดดังกล่าวเช่นกัน
คำพิพากษาฎีกาที่ ๒๗๖๖/๒๕๕๑ การยืมใช้คงรูปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา
๖๔๓ บัญญัติให้ ผู้ยืมต้องรับผิดต่อผู้ให้ยืมเฉพาะแต่ในกรณีผู้ยืมเอาทรัพย์สินที่ยืมไปใช้ในการอย่างอื่นนอกจากการอันเป็นปกติแก่ทรัพย์สินนั้นหรือนอกจากการอันปรากฎในสัญญา หรือเอาไปให้บุคคลภายนอกใช้สอยหรือเอาไปไว้นานกว่าที่ควรจะเอาไว้ แต่โจทก์ยืนยันมาในคำฟ้องว่า เหตุละเมิดที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก ดังนี้ โจทก์ในฐานะผู้ยืมจึงไม่ต้องรับผิดต่อเจ้าของทรัพย์แม้โจทก์จะได้ซ่อมรถยนต์คันที่โจทก์ยืมมาเรียบร้อยแล้ว โจทก์ก็ไม่อยู่ในฐานะที่จะรับช่วงสิทธิของเจ้าของทรัพย์ที่จะเรียกร้องให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการรับผิดได้ เพราะการรับช่วงสิทธิจะมีได้ต่อเมื่อผู้รับช่วงสิทธิมีหนี้อันจะต้องรับผิดต่อเจ้าหนี้คือเจ้าของ เมื่อโจทก์ไม่ใช่ผู้รับช่วงสิทธิโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
หมายเหตุ (โดยท่านอาจารย์วรวัชร เอี่ยมสุทธิธรรม และท่านอาจารย์เผ่าพันธ์ ชอบน้ำตาล) คดีนี้
โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสามฐานละเมิด เนื่องจากโจทก์ไม่ใช่เจ้าของทรัพย์ที่เสียหาย คงเป็นเพียงผู้ยืมทรัพย์ดังกล่าวจากผู้อื่นมาใช้เท่านั้น แต่ผู้ให้ยืมซึ่งเป็นเจ้าของทรัพย์ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสามให้ชดใช้ค่าเสียหายในฐานละเมิดได้ แม้โจทก์จะจ่ายค่าซ่อมแซมทรัพย์ไปแล้ว ก็ไม่สามารถรับช่วงสิทธิจากเจ้าของทรัพย์มาฟ้องเรียกค่าช่อมจากจำเลยทั้งสาม เพราะเมื่อโจทก์ในฐานะผู้ยืมไม่ต้องรับผิดในความสูญหายหรือบุบสลายต่อเจ้าของทรัพย์ผู้ให้ยืมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๖๔๓ โจทก์จึงไม่มีความผูกพันที่ต้องชำระหนี้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนความเสียหายให้แก่ผู้ให้ยืมตามมาตรา ๒๒๙ แต่โจทก์น่าจะอาศัยหลักกฎหมายในเรื่องจัดการงานอกสั่งเรียกให้เจ้าของทรัพย์ชดใช้ค่าซ่อมที่ออกไปคืนได้ หากผู้ยืมต้องรับผิดต่อผู้ให้ยืมตามมาตรา ๖๕๓ เช่น ผู้ยืมเอาทรัพย์ไปใช้การอย่างอื่นนอกจากการอันเป็นปกติแก่ทรัพย์นั้นหรือนอกจากการอันปรากฏในสัญญา หรือเอาไปให้บุคคลภายนอกใช้สอยเอาไปไว้นานกว่าที่ควรจะเอาไว้ แล้วทรัพย์ที่ยืมเกิดสูญหายหรือบุบสลายไป รวมทั้งกรณีที่ผู้ยืมผิดนัดไม่คืนทรัพย์ที่ยืมแล้วการคืนทรัพย์กลายเป็นพ้นวิสัยเพราะอุบัติเหตุอันเกิดขึ้นในระหว่างเวลาที่ผิดนัด ตามมาตรา ๒๑๗ ซึ่งก่อให้เกิดความรับผิดทางสัญญาที่ผู้ยืมจะต้องรับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อผู้ให้ยืม เมื่อผู้ยืมชดใช้ค่าเสียหายให้ผู้ให้ยืมไป ย่อมถือว่าผู้ให้ยืมในฐานะเจ้าหนี้ได้รับค่าสินไหมทดแทนความเสียหายจากผู้ยืมซึ่งเป็นลูกหนี้แล้ว ผู้ยืมย่อมรับช่วงสิทธิจากผู้ให้ยืมมาฟ้องผู้ทำละเมิดได้ตามมาตราตรา ๒๒๗
| null |
78
| 4
|
นายหนึ่งเป็นลูกจ้างบริษัทเอ จำกัด มีหน้าที่ขายรถยนต์ให้ลูกค้าและเก็บเงินทุกอย่างจากลูกค้าเกี่ยวกับการซื้อขายรถ นายหนึ่งได้ซื้อบ้านพร้อมที่ดินโดยกู้ยืมเงินจากธนาคารโดยมีบ้านพร้อมที่ดินดังกล่าวจดทะเบียนจำนองเป็นประกันกับธนาคารบี จำกัด (มหาชน) และได้ทำสัญญาประกันชีวิตและคุ้มครองสินเชื่อเงินกู้วงเงิน ๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยให้นางสองมารดาของตนเป็นผู้รับประโยชน์หลังจากชำระหนี้ให้ธนาคารแล้วกับบริษัทประกันภัยซี จำกัด (มหาชน) นายสามได้มาติดต่อขอซื้อรถจากบริษัทเอ จำกัด นายหนึ่งเก็บเงินดาวน์รถจากนายสาม ๑๐๐,๐๐๐ บาท แต่ไม่ส่งมอบพนักงานการเงินของบริษัทเอ จำกัด แล้วนำไปใช้เป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัว และนายหนึ่งได้ปลอมรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีว่ามีอุบัติเหตุรถยนต์ชนกันเป็นเหตุให้นายหนึ่งถึงแก่ความตาย รายงานการการชันสูตรพลิกศพนายหนึ่ง และมรณะบัตรของนายหนึ่ง แล้วนายหนึ่งกรอกรายละเอียดขอรับค่าสินไหมทดแทนกรณีมรณกรรมของนายหนึ่ง และไถ่ถอนจำนองที่ดินจากธนาคารบี จำกัด (มหาชน) แล้วนายหนึ่งมอบเอกสารขอรับค่าสินไหมทดแทนกรณีมรณกรรมของนายหนึ่ง รายงานประจำวันเกี่ยวกับคดี รายงานการชันสูตรพลิกศพ และมรณะบัตรของนายหนึ่ง ให้แก่นางสองมารดาของตนซึ่งอายุ ๗๔ ปี อ่านหนังสือไม่ออกเขียนได้แต่ชื่อของตนเองลงชื่อในคำขอแล้วนำเอกสารปลอมดังกล่าวข้างต้นไปติดต่อกับพนักงานของบริษัทประกันภัยซี จำกัด (มหาชน) โดยบอกมารดาว่าเป็นการขอรับเงินเพราะครบกำหนดอายุตามสัญญาประกันชีวิต นางสองไปที่บริษัทประกันภัยซี จำกัด (มหาชน) แต่วันนั้นมีลูกค้ามาติดต่อเยอะมากนางสองพบกับพนักงานของบริษัทประกันภัยซี จำกัด (มหาชน) นางสองจึงมอบเอกสารที่นายหนึ่งจัดเตรียมไว้ให้แก่พนักงานบริษัทประกันภัยซี จำกัด (มหาชน) รับเอกสารและตรวจดูเบื้องต้นเห็นว่าเอกสารครบถ้วนจึงมิได้พูดคุยกับนางสอง แล้วบอกนางสองว่าทิ้งเอกสารไว้แล้วจะดำเนินการให้ ต่อมาพนักงานของบริษัทประกันภัยซี จำกัด (มหาชน) ตรวจเอกสารแล้วเชื่อว่านายหนึ่งถึงแก่ความตายจึงขอเบิกเงินค่าสินไหมทดแทนกรณีมรณกรรมของนายหนึ่งชำระหนี้ไถ่ถอนจำนองบ้านที่ดินจากธนาคารบีจำกัด (มหาชน)
|
ให้วินิจฉัยว่า นายหนึ่งและนางสองมีความผิดทางอาญาหรือไม่เพียงใด
|
คำตอบ นายหนึ่งเป็นลูกจ้างบริษัทเอ จำกัด เมื่อนายหนึ่งเก็บเงินดาวน์รถจากนายสาม๑๐๐,๐๐๐ บาท แต่ไม่ส่งมอบพนักงานการเงินของบริษัทเอ จำกัด แล้วนำไปใช้เป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัวเงินที่นายหนึ่งรับไว้จากนายสาม เป็นการรับเงินไว้ในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ในฐานะลูกจ้างบริษัทเอ จำกัด นายหนึ่งเพียงแต่รับเงินและยึดถือไว้ชั่วคราวก่อนจะนำส่งมอบให้บริษัทเอ จำกัดเท่านั้น อำนาจในการครอบครองควบคุมดูแลเงินดังกล่าวจึงเป็นของบริษัทเอ จำกัด เมื่อนายหนึ่งรับเงินจากนายสาม แล้วเอาเงินดังกล่าวไปโดยทุจริต การกระทำของนายหนึ่งจึงเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ที่เป็นของนายจ้างตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕ (๑๑) วรรคแรกบทหนึ่งนายหนึ่งปลอมรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีว่ามีอุบัติเหตุรถยนต์ชนกันเป็นเหตุให้นายหนึ่งถึงแก่ความตาย รายงานการการชันสูตรพลิกศพนายหนึ่ง และมรณะบัตรของนายหนึ่ง เป็นการทำปลอมขึ้นทั้งฉบับซึ่งเอกสารราชการปลอม โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชนโดยเจตนาและเพื่อให้ผู้อื่นหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง จึงเป็นความผิดฐานปลอมเอกสารราชการตามมาตรา ๒๖๔ ประกอบมาตรา ๒๖๕
การที่นางสองมอบเอกสารที่นายหนึ่งจัดเตรียมไว้ให้แก่พนักงานบริษัทประกันภัยซี จำกัด (มหาชน) โดยมีรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดี รายงานการการชันสูตรพลิกศพ และมรณะบัตรซึ่งเป็นเอกสารที่นายหนึ่งทำปลอมขึ้น แม้จะเป็นการใช้เอกสารราชการปลอม แต่ขณะเกิดเหตุนางสองอายุ ๗๔ ปี อ่านหนังสือไม่ออก เขียนได้แต่ชื่อของตนเอง การที่นางสองเป็นผู้รับประโยชน์ตามสัญญาประกันชีวิตไม่ทราบว่าเอกสารที่นายหนึ่งให้นางสองนำไปติดต่อกับพนักงานของบริษัทประกันภัย ซี จำกัด (มหาชน) เพื่อขอรับค่าสินไหมทดแทนกรณีมรณกรรมของนายหนึ่งและไถ่ถอนจำนองที่ดิน เป็นเอกสารราชการปลอมที่นายหนึ่งทำปลอมขึ้น เมื่อนางสองไม่รู้ข้อเท็จจริงที่เป็นองค์ประกอบของความผิดจะถือว่านางสองประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลมิได้ตามมาตรา ๕๙ วรรคสาม นางสองเป็นเพียงเครื่องมือในการกระทำผิด นางสองไม่มีเจตนากระทำความผิด นางสองจึงไม่เป็นตัวการร่วมกับนายหนึ่งกระทำความผิด
การที่นายหนึ่งมอบเอกสารราชการปลอมให้นางสองไปขอรับเงินค่าสินไหมทดแทน นางสองเป็นเพียงเครื่องมือในการกระทำความผิดของนายหนึ่งดังที่วินิจฉัยมาแล้ว จึงต้องถือว่านายหนึ่งเป็นผู้กระทำผิดเองโดยอ้อม นายหนึ่งจึงมีความผิดฐานใช้เอกสารราชการปลอมตามมาตรา ๒๖๘ เมื่อนายหนึ่งเป็นผู้ปลอมและใช้เอกสารนั้น ให้ลงโทษฐานใช้เอกสารราชการปลอมเพียงกระทงเดียว
ตามมาตรา ๒๖๘
นอกจากนี้การกระทำของนายหนึ่งยังเป็นการกระทำโดยทุจริต หลอกลวงบริษัทประกันภัย ซี จำกัด (มหาชน) ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จว่านายหนึ่งถึงแก่กรรมไปแล้วและโดยการหลอกลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวง โดยได้รับค่าสินไหมทดแทนกรณีมรณกรรมของนายหนึ่งและไถ่ถอนจำนองที่ดิน นายหนึ่งจึงมีความผิดฐานฉ้อโกงอีกบทหนึ่งฎีกาที่ ๒๓๘๗/๒๕๖๔ ฎ.ส.ล.๕ น.๑๑๓ จำเลยเป็นลูกจ้างผู้เสียหาย มีหน้าที่ขายรถยนต์ให้ลูกค้าของผู้เสียหายและเก็บเงินจากลูกค้าไม่ว่าจะเป็นเงินค่าจองรถ ค่าดาวน์รถ กับค่าใช้จ่ายอื่น ๆเกี่ยวกับการซื้อขายรถซึ่งได้รับจากลูกค้าที่ซื้อรถจากผู้เสียหาย เงินจำนวนต่าง ๆ ที่จำเลยรับไว้จากลูกค้าเป็นการรับเงินไว้ในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ในฐานะลูกจ้างผู้เสียหาย ซึ่งมีหน้าที่ติดต่อกับลูกค้าผู้มาซื้อรถ
จำเลยเพียงแต่รับเงินและยึดถือไว้ชั่วคราวก่อนจะนำส่งมอบให้ผู้เสียหายเท่านั้น อำนาจในการครอบครองควบคุมดูแลเงินดังกล่าวจึงเป็นของผู้เสียหาย เมื่อจำเลยรับเงินจากลูกค้าของผู้เสียหายรวม ๗ ครั้ง แล้วเอาเงินดังกล่าวไปโดยทุจริต การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ที่เป็นของนายจ้างตาม ป.อ. มาตรา ๓๓๕ (๑๑) วรรคแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๓๓/๒๕๖๓ ฎ.๑๐๗๓ ขณะเกิดเหตุจำเลยอายุ ๗๔ ปี อ่านหนังสือไม่ออก เขียนได้แต่ชื่อของตนเอง การที่จำเลยเป็นผู้รับประโยชน์ตามสัญญาประกันชีวิตไม่ทราบว่าเอกสารที่ พ. ให้จำเลยนำไปติดต่อกับ ค. และ น. เพื่อขอรับค่าสินไหมทดแทนกรณีมรณกรรมของ พ. และไถ่ถอนจำนองที่ดินจากโจทก์ร่วม เป็นเอกสารราชการปลอมที่ พ. ทำขึ้น ทั้งจำเลยไม่ทราบถึงแผนการหรือมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยกับการวางแผนฉ้อโกงโจทก์ร่วมของ พ. ซึ่งได้ทำสัญญากู้ยืมเงินและทำสัญญาประกันชีวิตกับโจทก์ร่วมและต้องการได้เงินค่าสินไหมทดแทนกรณีมรณกรรมของ พ. การที่จำเลยนำเอกสารราชการที่ พ.ทำปลอมขึ้นไปติดต่อขอรับค่าสินไหมทดแทนเป็นการทำไปตามขั้นตอนและวิธีการที่ พ. ให้ทำในลักษณะที่จำเลยถูกใช้เป็นเครื่องมือ จำเลยไม่มีความผิดฐานใช้เอกสารราชการปลอมและร่วมกับ พ. ฉ้อโกงโจทก์ร่วม
|
อาญา
| null | null |
78
| 5
|
นายรวยให้นายจนกู้ยืมเงินไป ๑๐๐,๐๐๐ บาทคิดดอกเบี้ยร้อยละ ๑๐ ต่อเดือน หลังจากรับเงินไปนายจนชำระดอกเบี้ยเดือนละ ๑๐,๐๐๐ บาทเพียง ๒ เดือน แล้วนายจนไม่ชำระอีกเลย และนายรวยมอบเงินให้นายรุ่ง ๒๐๐,๐๐๐ บาท ไปหาที่ปล่อยกู้โดยให้เรียกดอกเบี้ยร้อยละ ๑๐ ต่อเดือน นายรุ่งให้นายเรืองกู้เงินโดยเรียกดอกเบี้ยร้อยละ ๑๐ ต่อเดือนต่อมาอีก ๕ เดือน นายเรื่องนำเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยมาชำระให้นายรุ่ง ๓๐๐,๐๐๐ บาท นายรุ่งไม่คืนเงินให้แก่นายรวย นายรวยจึงมีหนังสือทวงถามให้นายจนและนายรุ่งชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยภายในวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๖๘ นายจนและนายรุ่งไม่ชำระเงินตามหนังสือทวงถาม
|
ให้วินิจฉัยว่า นายจนและนายรุ่งต้องชำระต้นเงินและดอกเบี้ยให้แก่นายรวยหรือไม่ เพียงใด
|
คำตอบ นายจนกู้ยืมเงินนายรวยไป ๑๐๐,๐๐๐ บาท คิดดอกเบี้ยร้อยละ ๑๐ ต่อเดือน ซึ่งเกินร้อยละ ๑๕ ต่อปี จึงเป็นนิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายในการเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราต้องห้ามตามพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา อันเป็นกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยเพราะถ้าฝ่าฝืนจะมีโทษทางอาญา การเรียกดอกเบี้ยตามสัญญาจึงตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๐ ส่วนต้นเงินนั้นตามมาตรา ๑๗๓ ถ้าส่วนหนึ่งส่วนใดของนิติกรรมเป็นโมฆะ นิติกรรมนั้นย่อมตกเป็นโมฆะทั้งสิ้น เว้นแต่จะพึงสันนิษฐานได้โดยพฤติการณ์แห่งกรณีว่า คู่กรณีเจตนาจะให้ส่วนที่ไม่เป็นโมฆะนั้นแยกออกจากส่วนที่เป็นโมฆะได้ กรณีนี้นี้สามารถแยกส่วนของต้นเงินออกจากส่วนของดอกเบี้ยที่เป็นโมฆะได้ตามมาตรา ๑๗๓ เฉพาะส่วนของต้นเงินตามสัญญา ๑๐๐,๐๐๐ บาท จึงมีผลบังคับกันได้ไม่เป็นโมฆะ การที่นายจนชำระดอกเบี้ยเดือนละ ๑๐,๐๐๐ บาท เพียง ๒ เดือนนั้น เป็นกรณีที่บุคคลใดได้กระทำการชำระหนี้ตามอำเภอใจเหมือนหนึ่งว่าโดยรู้อยู่ว่าตนไม่มีความผูกพันที่ต้องชำระและเป็นการอันฝ่าฝืนข้อห้ามตามกฎหมาย บุคคลนั้นหาอาจจะเรียกร้องคืนทรัพย์ได้ไม่ ตามมาตรา ๔๐๗ และ ๔๑๑ นายจนจะเรียกเงินที่ชำระไปแล้วคืนไม่ได้ ทั้งจะนำเงินดังกล่าวไปหักจากต้นเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาทก็ไม่ได้ (คำพิพากษาฎีกาที่ ๗๔๕/๒๕๖๕)
การที่นายจนชำระดอกเบี้ยไป ๒ เดือนแล้วไม่ชำระหนี้อีกเลย ก็ยังไม่ถือว่านายจนผิดนัดชำระหนี้เพราะต้นเงินดังกล่าวเป็นหนี้ที่ไม่ได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ แต่ต่อมานายรวยมีหนังสือทวงถามให้นายจนชำระหนี้ แต่นายจนไม่ชำระถือว่านายจนผิดนัดนับแต่วันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๖๘ นายรวยจึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยผิดนัดจากนายจนในอัตราร้อยละ ๕ ต่อปีของต้นเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท ได้นับแต่ผิดนัดจนกว่าจะชำระเสร็จ (คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๗๘/๒๕๔๙)
นายรวยมอบเงินให้นายรุ่ง ๒๐๐,๐๐๐ บาท ไปหาที่ปล่อยกู้โดยให้เรียกดอกเบี้ยร้อยละ ๑๐ ต่อเดือน นายรุ่งจึงเป็นตัวแทนของนายรวยในกิจการดังกล่าวตามมาตรา ๗๙๗ เป็นนิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย อันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราซึ่งเป็นกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย นิติกรรมระหว่างนายรวยกับนายรุ่งตกเป็นโมฆะตามมาตรา ๑๕๐
การที่นายรวยมอบเงินให้นายรุ่ง ๒๐๐,๐๐๐ ไปดำเนินการดังกล่าวจึงเป็นการชำระหนี้ฝ่าฝืนข้อห้ามตามกฎหมายหรือศีลธรรมอันดีตามมาตรา ๔๑๑ แม้นายรุ่งจะได้รับชำระเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยจากนายเรือง ๓๐๐,๐๐๐ บาท นายรวยจึงไม่อาจเรียกร้องให้นายรุ่งคืนเงินดังกล่าวได้
กรณีที่นายรุ่งจึงเป็นตัวแทนของนายรวยในกิจการดังกล่าวตามมาตรา ๗๙๗ สัญญาระหว่างนายรวยและนายรุ่งไม่ใช่สัญญากู้ยืมเงิน จึงไม่สามารถแยกต้นเงินออกจากดอกเบี้ยที่เรียกเก็บจากบุคคลภายนอกเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดซึ่งตกเป็นโมฆะเช่นเดียวกับนิติกรรมกู้ยืมได้ นายรวยจึงไม่อาจเรียกเงิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท ที่มอบให้นายรุ่ง และไม่อาจเรียกดอกเบี้ย ๑๐๐,๐๐๐ บาท ที่นายรุ่งได้รับมาจากนายเรืองได้ (คำพิพากษาฎีกาที่ ๖๙๐๑/๒๕๖๗)
(คำพิพากษาฎีกาที่ ๖๙๐๑/๒๕๖๗) คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๗๘/๒๕๔๙ แม้สัญญากู้ยืมระหว่างโจทก์และจำเลยมีหนี้ส่วนที่เป็นโมฆะรวมอยู่ด้วยเนื่องจากโจทก์คิดดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด โจทก์ก็ยังมีสิทธิเรียกร้องต้นเงินอันเป็นหนี้ประธานที่สมบูรณ์แยกออกจากส่วนที่เป็นโมฆะได้ มิใช่สัญญากู้ตกเป็นโมฆะทั้งหมด จำเลยจึงต้องรับผิดชำระต้นเงินพร้อมดอกเบี้ยผิดนัดตามกฎหมาย
คำพิพากษาฎีกาที่ ๗๔๕/๒๕๖๕ เมื่อฟังได้ว่าสำเนาใบหุ้นกู้เป็นหลักฐานแห่งกากู้ยืมเงิน ซึ่งจำเลยที่ ๑ ตกลงให้ผลตอบแทนร้อยละ ๒ ต่อเดือน เป็นการให้ดอกเบี้ยเกินกว่าร้อยละ ๑๕ ต่อปี อันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา ๖๕๔ ตกเป็นโมฆะ โจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยได้เพียงร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันครบกำหนดชำระหนี้เป็นต้นไป ส่วนผลตอบแทนหรือดอกเบี้ยที่ได้ชำระแกโจท์แล้ว จำเลยที่ ๑ เป็นผู้กำหนดขึ้นเอง จึงเป็นการชำระหนี้โดยรู้อยู่ว่าตนไม่มีความผูกพันที่จะต้องชำระ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๐๗ จำเลยที่ ๑ ไม่อาจขอให้นำเงินที่ชำระไปดังกล่าวมาหักกลบกับต้นเงินที่จำเลยที่ ๑ ต้องชำระแก่โจทก์
|
แพ่ง
|
ข้อสังเกต ฎีกานี้วินิจฉัยแตกต่างจากฎีกาที่ ๒๑๓๑/๒๕๖๐ ที่ให้นำดอกเบี้ยเกินอัตราไปหักออกจากต้นเงินได้ ถ้าออกสอบคงถือตามฎีกาที่ ๗๔๕/๒๕๖๕ ที่ใหม่กว่า เพราะตามปกติถ้าออกข้อสอบธงคำตอบจะถือตามฎีกาใหม่ ฎีกาที่ ๒๑๓๑/๒๕๖๐ ก็มีเหตุผลและน่าจะเป็นธรรม แต่การชำระหนี้ตามอำเภอใจเรียกคืนไม่ได้ถ้าให้ไปหักต้นเงินได้มันจะต่างกับเรียกคืนได้อย่างไรเพราะกฎหมายบัญญัติไว้เช่นนี้ ถ้าออกข้อสอบแล้วเถียงกันตอนเลือกข้อสอบคณะกรรมการอาจจะไม่เลือกเป็นข้อสอบ แต่ถ้าเลือกเป็นข้อสอบไปแล้วธงคำตอบจะออกตามคำพิพากษาฎีกาใหม่
คำพิพากษาฎีกาที่ ๖๙๐๑/๒๕๖๗ โจทก์มอบหมายให้จำเลยนำเงินไปให้บุคคคลภายนอกกู้ยืมโดยเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดแล้วนำผลประโยชน์มามอบให้ จำเลยจึงเป็นตัวแทนของโจทก์ในกิจการดังกล่าวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๗๙๗ กรณีเช่นนี้จึงไม่สามารถแยกต้นเงิน ออกจากดอกเบี้ยที่เรียกเก็บจากบุคคลภายนอกเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดซึ่งตกเป็นโมฆะเช่นเดียวกับนิติกรรมกู้ยืมได้ เมื่อข้อเท็จริงฟังได้ว่าโจทก์มอบเงินให้จำเลยนำไปปล่อยให้บุคคลภายนอกกู้ยืมโดยคิดดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด เป็นการฝ่าฝืนกฎหมายซึ่งกฎหมายกำหนดห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยเกินร้อยละสิบห้าต่อปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๕๔ และเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๔ (๑) นิติกรรมระหว่างโจทก์กับจำเลยตกเป็นโมฆะ การที่โจทก์มอบเงินให้จำเลยไปดำเนินการดังกล่าวจึงเป็นการชำระหนี้ฝ่าฝืนข้อห้ามตามกฎหมายหรือศีลธรรมอันดีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๑๑ โจทก์จึงไม่อาจเรียกร้องให้จำเลยคืนเงินดังกล่าวได้
| null |
78
| 5
|
นายยอดเช่าซื้อรถยนต์คันที่ ๑ จากบริษัทหนึ่ง จำกัด หลังจากชำระค่าเช่าซื้อ ๒ งวดนายยอดถูกไล่ออกจากงาน นายยอดไปเล่นการพนัน แต่เสียพนันหมดนายยอดจึงนำรถยนต์คันที่ ๑ ไปขายตีใช้หนี้ในบ่อนพนัน ต่อมานายยอดไปหลอกขอเช่าซื้อรถยนต์คันที่ ๒ จากบริษัทสอง จำกัด โดยไม่ต้องวางเงินดาวน์และตั้งใจว่าจะไม่ชำระค่าเช่าซื้อ เมื่อได้รถยนต์มาแล้วนายยอดก็นำไปขายอีก และนายยอดได้ไปหลอกขอเช่ารถยนต์คันที่ ๓ จากบริษัทสาม จำกัด ซึ่งให้เช่ารถยนต์ เมื่อได้รถยนต์มาแล้วนายยอดก็นำรถไปขายอีก
|
ให้วินิจฉัยว่า นายยอดมีความผิดฐานใดสำหรับรถยนต์ทั้ง ๓ คัน
|
คำตอบ นายยอดเช่าซื้อรถยนต์คันที่ ๑ จากบริษัทหนึ่ง จำกัด หลังจากชำระค่าเช่าซื้อ ๒ งวด นายยอดนำรถยนต์คันที่ ๑ ไปขายดีใช้หนี้ในบ่อนพนัน เมื่อขณะทำสัญญาเช่าซื้อนายยอดมีเจตนาเช่าซื้อรถยนต์คันที่ ๑ มาใช้จริง มิได้มีการหลอกลวง แต่มาเบียดบังภายหลังจากได้รับมอบการครอบครองรถยนต์คันที่ ๑ แล้ว ถือว่านายยอดมีเจตนาเบียดบังเอาทรัพย์ของผู้ให้เช่าซื้อที่อยู่ในครอบครองของนายยอดไปโดยทุจริต นายยอดมีความผิดฐานยักยอกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๒ สำหรับรถยนต์คันที่ ๑ (คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๑๒๙๔/๒๕๕๓)
นายยอดไปหลอกขอเช่าซื้อรถยนต์คันที่ ๒ จากบริษัทสอง จำกัด โดยไม่ต้องวางเงินดาวน์และตั้งใจว่าจะไม่ชำระค่าเช่าซื้อ บริษัทสอง จำกัด ยินยอมส่งมอบรถยนต์คันที่ ๒ ให้แก่นายยอดเนื่องจากถูกนายยอดหลอกลวงให้ทำสัญญาเช่าซื้อ ซึ่งการหลอกขอเช่าซื้อเป็นการหลอกเอากรรมสิทธิ์ เพราะวัตถุประสงค์ของการเช่าซื้อก็เพื่อโอนกรรมสิทธิ์เมื่อชำระค่าเช่าซื้อครบถ้วนแล้ว มิใช่เป็นการเอารถยนต์คันที่ ๒ ไปโดยพลการโดยทุจริตอันจะเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ หากแต่เป็นการได้รถยนต์คันที่ ๒ ไปโดยการหลอกลวงบริษัทสอง จำกัด โดยทุจริตว่าจะปฏิบัติตามสัญญาเช่าซื้อที่ทำไว้กับบริษัทสอง จำกัด การกระทำของนายยอดเป็นการกระทำความผิดฐานฉ้อโกงตามมาตรา ๓๔๑ สำหรับรถยนต์คันที่ ๒ (คำพิพากษาฎีกาที่๕๒๒๘/๒๕๕๔)
นายยอดหลอกขอเช่ารถยนต์คันที่ ๓ จากบริษัทสาม จำกัด ซึ่งให้เช่ารถยนต์เป็นการหลอกเอาการครอบครองเพราะสัญญาเช่ามอบเฉพาะการครอบครองไม่ได้โอนกรรมสิทธิ์ การที่นายยอดได้รถยนต์มา จึงเป็นการเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปโดยทุจริต นายยอดจึงมีความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา ๓๓๔ สำหรับรถยนต์คันที่ ๓ ข้อสังเกต ความผิดฐานลักทรัพย์ต้องมีการเอาไปที่เป็นการแย่งการครอบครอง หากเจ้าของทรัพย์มอบการครอบครองโดยถูกต้องจะไม่เป็นการแย่งการครอบครอง จึงไม่เป็นการเอาไปในความหมายของความผิดฐานลักทรัพย์ แต่การมอบทรัพย์เพราะถูกข่มขู่ หลอกลวง หรือสำคัญผิด ไม่ใช่การยินยอมมอบทรัพย์ ถือว่าเป็นการแย่งการครอบครอง ซึ่งก็คือการเอาไป แต่จะผิดฐานใดดูในข้อพิจารณาต่อไปการมอบทรัพย์เพราะถูกข่มขู่ สำคัญผิด หรือหลอกลวง จะเป็นความผิดฐานใดการขู่เอาทรัพย์ไป เจ้าของส่งให้ จึงเป็นชิงทรัพย์ ได้ทรัพย์ที่ส่งให้โดยสำคัญผิดเป็นกึ่งยักยอกตามมาตรา๓๕๒ วรรคสอง หลอกเอาทรัพย์ไปได้เป็นฉ้อโกง เมื่อการฉ้อโกงตามมาตรา ๓๔๑ เป็นการได้ทรัพย์ไปโดยการหลอกลวงเอากรรมสิทธิ์ จึงไม่เป็นลักทรัพย์ เพราะกฎหมายบัญญัติโดยเฉพาะแยกออกไปจากลักทรัพย์ จะเป็นลักทรัพย์อยู่อีกไม่ได้ แต่หลอกเอาการครอบครองไม่เป็นฉ้อโกง จึงยังคงเป็นลักทรัพย์อยู่ตามเดิม เพราะไม่ถือเป็นการได้ทรัพย์ไปโดยเจ้าของทรัพย์ยินยอมโดยหลอกให้เขาส่งมอบการครอบครองมา แต่ไม่ถึงกับฉ้อโกงเพราะไม่ใช่ได้ไปอย่างหลอกเอากรรมสิทธิ์ ยังคงเป็นลักทรัพย์ที่เรียกว่าลักทรัพย์โดยใช้อุบาย เหตุผลเหล่านี้คงช่วย ให้เข้าใจการลักทรัพย์โดยใช้อุบายและความแตกต่างระหว่างหลอกในลักทรัพย์และในฉ้อโกงได้บ้าง (ดูรายละเอียด เพิ่มเติมในศาสตราจารย์จิตติ ติงศภัทิย์, รวมหมายเหตุท้ายคำพิพากษาศาลฎีกา กฎหมายอาญาของศาสตราจารย์จิตติติงศภัทิย์ รวบรวมโดย ดร.เกียรติขจร วัจนะสวัสดิ์ ดร.ทวีเกียรติ มีนะกนิฐ, พิมพ์ครั้งที่ ๔, กรุงเทพฯ : หน้า ๒๓๕)
คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๑๒๙๔/๒๕๕๓ หลังจากทำสัญญาเช่าซื้อจำเลยชำระค่าเช่าซื้อให้ผู้เสียหายเพียง ๒ งวดแล้วไม่ชำระค่าเช่าซื้ออีกเลย และจำเลยนำรถที่เช่าซื้อไปตีใช้หนี้ให้แก่ผู้อื่นโดยจำเลยทราบอยู่แล้วว่ารถที่เช่าซื้อยังเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้เสียหาย เมื่อ จ. ไปติดตามยึดรถที่เช่าซื้อแต่จำเลยบ่ายเบี่ยงไม่ให้ความร่วมมือ พฤติการณ์ของจำเลยดังกล่าวบ่งชี้ให้เห็นว่าจำเลยมีเจตนาเบียดบังเอาทรัพย์ของผู้เสียหายที่อยู่ในครอบครองของจำเลยไปโดยทุจริต จึงเป็นความผิดฐานยักยอก
คำพิพากษาฎีกาที่ ๕๒๒๘/๒๕๕๔ ฎ.ส.ล.๗ น.๙๙ ผู้เสียหายยินยอมส่งมอบรถจักรยานยนต์ของกลางให้แก่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เนื่องจากถูกจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ หลอกลวงให้ทำสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกัน มิใช่เป็นการเอารถจักรยานยนต์ของกลางไปโดยพลการโดยทุจริตอันจะเป็นความผิดฐานลักทรัพย์หากแต่เป็นการได้รถจักรยานยนต์ของกลางไปโดยการหลอกลวงผู้เสียหายโดยทุจริตว่าจะปฏิบัติตามสัญญาเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ที่ทำไว้กับผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ เป็นตัวการร่วมกันกระทำความผิดฐานฉ้อโกง ส่วนจำเลยที่ ๔ ไม่ได้ประกอบกิจการซื้อขายรถจักรยานยนต์ แต่รับซื้อรถจักรยานยนต์ของกลางในราคาต่ำกว่าราคาปกติมาก ทั้งเป็นการซื้อขายกันในลักษณะเร่งรีบและรวบรัด ไม่มีการตรวจสอบทางทะเบียนเพื่อทราบถึงบุคคลผู้เป็นเจ้าของที่แท้จริงก่อน เป็นการผิดปกติวิสัยการซื้อขายโดยสุจริตทั่วไป ฟังได้ว่าจำเลยที่ ๔ รับซื้อรถจักรยานยนต์ของกลางไว้โดยรู้ว่าเป็นทรัพย์อันได้มาจากการกระทำความผิดฐานฉ้อโกงการที่จำเลยที่ ๔ จ่ายเงินค่าซื้อรถจักรยานยนต์ของกลางให้แก่จำเลยที่ ๓ จำเลยที่ ๓ มอบกุญแจรถจักรยานยนต์ของกลางให้จำเลยที่ ๔ และจำเลยที่ ๔ ขึ้นนั่งคร่อมรถจะขับออกไป แต่ถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมเสียก่อน ถือได้ว่าจำเลยที่ ๔ ได้รับทรัพย์ที่ซื้อจากจำเลยที่ ๓ ไว้แล้ว เป็นความผิดฐานรับของโจรสำเร็จแล้ว
|
อาญา
|
ข้อสังเกต แม้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องฐานฉ้อโกงจะระงับลงแล้ว แต่ทรัพย์ที่ได้มาจากการฉ้อโกงยังเป็น
ของโจรอยู่ ผู้รับของโจรจึงยังมีความผิด นักศึกษาบางท่านอ่านแล้วอาจรู้สึกสงสารผู้รับของโจรว่าทำไมไม่ได้รับ
ประโยชน์จากสิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับ ขอให้สังเกตว่าความผิดฐานฉ้อโกงตามมาตรา ๓๔๑ โทษจำคุก
ไม่เกิน ๓ ปี แต่ความผิดฐานรับของโจรตามมาตรา ๓๕๗ วรรคแรก โทษจำคุกไม่เกิน ๕ ปี หากพิจารณาจาก
อัตราโทษแล้ว ความผิดฐานรับของโจรถือว่าร้ายแรงกว่าฉ้อโกง (คดีนี้มีการถอนคำร้องทุกข์)
| null |
78
| 5
|
นายหนึ่งฟ้องคดีแพ่งเรียกเงินกู้ ๕๐๐,๐๐๐ บาท จากนายสอง นายสองขาดนัดยื่นคำให้การ
และขาดนัดพิจารณา ศาลสืบพยานโจทก์ไปฝ่ายเดียวโดยนายหนึ่งเบิกความต่อศาลว่า นายหนึ่งส่งมอบเงินให้
นายสองไป ๕๐๐,๐๐๐ บาท ตามสัญญากู้ คดีเสร็จการพิจารณาศาลพิพากษาให้นายสองชำระเงินให้นายหนึ่ง
ตามฟ้องพร้อมดอกเบี้ย นายสองอุทธรณ์ว่าการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไม่ชอบ ศาลอุทธรณ์พิพากษา
ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นเพิกถอนกระบวนพิจารณาตั้งแต่ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้ศาลชั้นต้นพิจารณา
พิพากษาใหม่ตามรูปคดี เมื่อพิจารณาคดีใหม่นายสองนำใบฝากเงินธนาคาร ๑๐๐,๐๐๐ บาทที่นายหนึ่งนำฝาก
ให้นายสองมาถามค้านนายหนึ่ง นายหนึ่งยอมรับว่ามอบเงินให้นายสองเพียง ๑๐๐,๐๐๐ บาท ไม่ใช่ ๕๐๐,๐๐๐
บาท และได้รับชำระหนี้ครบถ้วนแล้ว ศาลพิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุด ความจริงเป็นไปตามที่นายหนึ่งเบิกความ
ในครั้งหลัง นายสองจึงฟ้องนายหนึ่งเป็นคดีอาญาจากการเบิกความในครั้งแรกฐานเบิกความเท็จว่ามอบเงิน
๕๐๐,๐๐๐ บาท อันเป็นเท็จทั้งที่ความจริงมอบเงินเพียง ๑๐๐,๐๐๐ บาท
|
ให้วินิจฉัยว่า นายหนึ่งมีความผิดฐานเบิกความเท็จหรือไม่
|
คำตอบ คดีนี้แม้ศาลอุทธรณ์พิพากษาเพิกถอนกระบวนพิจารณาไปแล้ว แต่ขณะที่นายหนึ่งเบิกความตามที่เป็นคดีในคำฟ้องนี้ครั้งแรก ขณะนั้นการพิจารณาคดียังมิได้ถูกเพิกถอน หากฟังได้ว่านายหนึ่งเบิกความเท็จในการพิจารณาคดีต่อศาล ถ้าความเท็จนั้นเป็นข้อสำคัญในคดีก็ย่อมมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๗๗ วรรคหนึ่ง และถือได้ว่าได้กระทำความผิดสำเร็จไปแล้ว แม้การพิจารณาในส่วนดังกล่าวต่อมาจะถูกเพิกถอนก็หาได้กระทบการกระทำความผิดที่สำเร็จไปแล้วไม่ ดังนั้น การที่นายหนึ่งเบิกความต่อศาลในครั้งแรก นายหนึ่งได้เบิกความต่อศาลแล้ว แต่การกระทำของนายหนึ่งจะเป็นความผิดหรือไม่ อยู่ที่ว่าคำเบิกความของนายหนึ่งเป็นข้อสำคัญในคดีหรือไม่
นายหนึ่งเบิกความต่อศาลว่า นายหนึ่งส่งมอบเงินให้นายสองไป ๕๐๐,๐๐๐ บาท ตามสัญญากู้ทั้งที่ความจริงส่งมอบเงินให้นายสองไปเพียง ๑๐๐,๐๐๐ บาท เป็นการเบิกความเกี่ยวกับประเด็นข้อพิพาทซึ่งเป็น
ข้อแพ้ชนะกัน ถือเป็นข้อสำคัญในคดี นายหนึ่งจึงมีความผิดฐานเบิกความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา
๑๗๗ วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๖๙๔/๒๕๖๗ คดีนี้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยยกฟ้องโจทก์ โดยเห็นว่า การพิจารณาที่จำเลย
เบิกความนั้นศาลได้เพิกถอนกระบวนพิจารณาคดีดังกล่าวไปแล้ว แต่ขณะที่จำเลยเบิกความตามที่เป็นคดีในคำฟ้องนี้การพิจารณาคดียังมิได้ถูกเพิกถอน หากฟังได้ว่าจำเลยเบิกความเท็จอันเป็นข้อสำคัญในคดีก็ย่อมมีความผิด และถือได้ว่าได้กระทำความผิดสำเร็จไปแล้ว แม้การพิจารณาในส่วนดังกล่าวต่อมาจะถูกเพิกถอนก็หาได้กระทบการกระทำความผิดที่สำเร็จไปแล้วไม่ ดังนั้น การที่จำเลยเบิกความต่อศาลในคดีแพ่งดังกล่าว จำเลยได้เบิกความต่อศาลแล้วแม้ต่อมาศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาในคดีแพ่งก็ไม่มีผลกระทบการกระทำของจำเลยแต่การกระทำของจำเลยจะเป็นความผิดหรือไม่ อยู่ที่ว่าคำเบิกความของจำเลยเป็นข้อสำคัญในคดีหรือไม่ (เมื่อในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ผบ ๑๓๕/๒๕๖๐ ของศาลชั้นต้น จำเลยเบิกความว่า โจทก์กู้ยืมเงินจากจำเลย ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยจำเลยเบิกความประกอบสำเนาหลักฐานการกู้ยืมเงินและสำเนารายงานประจำวันรับแจ้ง ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ผบ ๑๓๕/๒๕๖๐ ของศาลชั้นต้น ส่วนโจทก์ให้การและนำสืบในคดีแพ่งว่า โจทก์กู้ยืมเงินจากจำเลยเพียง ๒๔๐,๐๐๐ บาท ซึ่งต่อมาศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์กู้ยืมและรับเงินไปจากจำเลย ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท ดังนี้ จึงยังไม่อาจรับฟังได้ว่า คำเบิกความของจำเลยในคดีแพ่งดังกล่าวที่เบิกความว่า โจทก์กู้ยืมเงินจากจำเลย ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท เป็นความเท็จ การที่จำเลยเบิกความในคดีแพ่งหมายเลขแดง ผบ ๑๓๕/๒๕๖๐ ของศาลชั้นต้นจึงไม่เป็นความผิดฐานเบิกความเท็จตาม ป.อ. มาตรา ๑๗๗)
|
อาญา
|
ข้อสังเกต คดีนี้ส่วนที่วงเล็บไว้เป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าคำเบิกความไม่ใช่ความเท็จ อาจารย์จึง
นำฎีกาในส่วนข้อกฎหมายที่ว่าเบิกความเท็จไปแล้ว ถูกศาลอุทธรณ์เพิกถอนก็ยังเป็นความผิดมาแต่งคำถาม
โดยเปลี่ยนข้อเท็จจริงให้เป็นความเท็จและเป็นข้อสำคัญในคดี คำตอบจึงไม่ตรงกับผลสุดท้ายของฎีกาที่ข้อเท็จจริง
ต่างกัน ถ้าวิเคราะห์ไม่ได้ก็ทำข้อสอบไม่ได้
| null |
78
| 6
|
นายเอกถูกนายโทฟ้องคดีอาญาฐานยักยอกทรัพย์และฐานฟ้องเท็จในคดีอาญา ศาลไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าคดีมีมูล จึงประทับฟ้องไว้พิจารณา นายเอกให้การปฏิเสธ ระหว่างการสืบพยานโจทก์นายเอกขับรถจักรยานยนต์โดยประมาทชนนายโท เป็นเหตุให้นายโทได้รับอันตรายสาหัส นายเอกถูกพนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องคดีฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้นายโทได้รับอันตรายสาหัส นายเอกและนายโทได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันเกี่ยวกับคดีอาญา โดยตกลงกันว่า เมื่อนายโทถอนฟ้องคดีที่นายโทเป็นโจทก์ฟ้องฐานยักยอก นายเอกจะจ่ายเงินให้นายโท ๕๐,๐๐๐ บาท และฐานฟ้องเท็จ นายเอกจะจ่ายเงินให้นายโท ๑๐๐,๐๐๐ บาท และเมื่อนายโทไปเบิกความในคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องนายเอกฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้นายโทได้รับอันตรายสาหัสว่านายเอกไม่ใช่ผู้ขับรถจักรยานยนต์ชนนายโท นายเอกจะจ่ายเงินให้แก่นายโท ๒๐๐,๐๐๐ บาท โดยทำสัญญาเป็นหนังสือฉบับเดียวกันต่อมานายโทยื่นคำร้องขอถอนฟ้องคดียักยอกและฟ้องเท็จ นายเอกไม่คัดค้าน ศาลอนุญาตให้นายโทถอนฟ้องและจำหน่ายคดีจากสารบบความจนคดีถึงที่สุดไปแล้ว และนายโทไปเบิกความว่านายเอกไม่ใช่ผู้ขับรถจักรยานยนต์ชนนายโท จนศาลพิพากษายกฟ้องนายเอกไปแล้ว นายโททวงเงินจากนายเอก ๓๕๐,๐๐๐ บาทแต่นายเอกไม่ชำระ
|
ให้วินิจฉัยว่า นายโทจะฟ้องนายเอกให้ชำระเงินตามสัญญาได้หรือไม่
|
คำตอบ การที่นายเอกและนายโทได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความเกี่ยวกับคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องนายเอกว่า เมื่อนายโทไปเบิกความว่านายเอกไม่ใช่ผู้ขับรถจักรยานยนต์ชนนายโท นายเอกจะจ่ายเงินให้แก่นายโท ๒๐๐,๐๐๐ บาท เป็นการตกลงทำสัญญากันให้พยานไปเบิกความเท็จอันเป็นข้อสำคัญในคดี จึงเป็นนิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย เพราะการไปเบิกความเท็จเป็นความผิดซึ่งมีโทษทางอาญา สัญญาประนีประนอมยอมความในส่วนของการให้ค่าตอบแทน ๒๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อไปเบิกความเท็จจึงตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๐ เนื่องจากขัดต่อกฎหมายซึ่งมีโทษทางอาญา อันเป็นกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน นายโทจึงไม่อาจฟ้องให้นายเอกชำระเงิน ๒๐๐,๐๐๐ บาทจากสัญญาที่เป็นโมฆะได้
แม้นายเอกและโทได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันเกี่ยวกับคดีอาญาทั้งสามฐานความผิดโดยทำสัญญาเป็นหนังสือฉบับเดียวกัน แต่สัญญาดังกล่าวมีเรื่องการถอนฟ้องและการเบิกความเท็จ ถือว่าส่วนหนึ่งส่วนใดของนิติกรรมเป็นโมฆะ นิติกรรมนั้นย่อมตกเป็นโมฆะทั้งสิ้น เว้นแต่จะพึงสันนิษฐานได้โดยพฤติการณ์แห่งกรณีว่า คู่กรณีเจตนาจะให้ส่วนที่ไม่เป็นโมฆะนั้นแยกออกจากส่วนที่เป็นโมฆะได้ตามมาตรา ๑๗๓ การให้ไปเบิกความเท็จกับการถอนฟ้องสามารถแยกส่วนออกจากกันได้จึงต้องพิจารณาความสมบูรณ์ของสัญญาประนีประนอมยอมความเกี่ยวกับการถอนฟ้องต่อไป
สัญญาประนีประนอมยอมความที่ว่าเมื่อนายโทถอนฟ้องคดียักยอก นายเอกจะจ่ายเงินให้นายโท๕๐,๐๐๐ บาทนั้น ความผิดฐานยักยอกเป็นความผิดต่อส่วนตัว จะถอนฟ้องในเวลาใดก่อนคดีถึงที่สุดก็ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๓๕ สัญญาประนีประนอมยอมความส่วนนี้มิได้มีวัตถุประสงค์ขัดต่อกฎหมายหรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนไม่ตกเป็นโมฆะและเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความที่ชอบด้วยกฎหมาย เมื่อนายโทถอนฟ้องให้ตามสัญญาแล้วแต่นายเอกไม่ชำระเงินตามสัญญา นายโทจึงฟ้องนายเอกให้ชำระเงินตามสัญญาส่วนของการถอนฟ้องคดียักยอก ๕๐,๐๐๐ บาทได้
สัญญาประนีประนอมยอมความที่ว่าเมื่อนายโทถอนฟ้องคดีฟ้องเท็จ นายเอกจะจ่ายเงินให้นายโท ๑๐๐,๐๐๐ บาทนั้น ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๓๕ วรรคหนึ่ง มิได้ห้าม
โจทก์ซึ่งฟ้องคดีความผิดอาญาแผ่นดินไว้แล้วจะถอนฟ้องไม่ได้เสียเลย การที่นายโทถอนฟ้องในคดีที่ตนฟ้องนายเอกคดีฟ้องเท็จซึ่งเป็นความผิดอาญาแผ่นดิน ย่อมเป็นการใช้สิทธิของนายโทพึงกระทำได้ก่อนที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามกฎหมาย สัญญาประนีประนอมยอมความมิได้มีวัตถุประสงค์ขัดต่อกฎหมายหรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนไม่ตกเป็นโมฆะและเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความที่ชอบด้วยกฎหมาย เมื่อนายโทถอนฟ้องให้ตามสัญญาแล้ว แต่นายเอกไม่ชำระเงินตามสัญญา นายโทจึงฟ้องนายเอกให้ชำระเงินตามสัญญาส่วนของการถอนฟ้องคดีฟ้องเท็จ ๑๐๐,๐๐๐ บาทได้
|
แพ่ง
|
ข้อสังเกต สำหรับความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส หากคู่กรณีทำสัญญาว่า จะยื่นคำร้องขอให้ศาลลงโทษสถานเบาและรอการลงอาญา แล้วจะจ่ายเงินให้ นิติกรรมไม่เป็นโมฆะ เพราะไม่ขัดต่อกฎหมาย หรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน หรือขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน เพราะเป็นสิทธิของผู้เสียหายที่จะได้รับการบรรเทาผลร้าย
คำพิพากษาฎีกาที่ ๒๖๒๐/๒๕๖๗ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๓๕ วรรคหนึ่ง มิได้ห้ามโจทก์ซึ่งฟ้องคดีความผิดอาญาแผ่นดินไว้แล้วจะถอนฟ้องไม่ได้เสียเลย การที่โจทก์ร่วมรับเช็คพิพาทจากจำเลยแล้วถอนฟ้องในคดีที่โจทก์ร่วมเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยในความผิดฐานฟ้องเท็จซึ่งเป็นความผิดอาญาแผ่นดิน ย่อมเป็นการใช้สิทธิของโจทก์ร่วมอันพึงกระทำได้ก่อนที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามกฎหมาย มูลหนี้ตามเช็คพิพาทมิได้มีวัตถุประสงค์ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนไม่ตกเป็นโมฆะ
ข้อสังเกต คำพิพากษาฎีกานี้กลับฎีกาที่ ๔๓๕๑/๒๕๔๘ ที่เคยวินิจฉัยว่า ข้อตกลงประนีประนอมยอมความเกี่ยวกับถอนฟ้องคดีอาญาแผ่นดิน เป็นข้อตกลงที่มีวัตถุประสงค์ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน
คำพิพากษาฎีกาที่ ๕๕๒๔/๒๕๖๗ แม้ขณะเกิดเหตุจำเลยไม่ได้อยู่กินฉันสามีภริยากับ ก. แล้วและอำนาจปกครองของผู้เสียหายตามกฎหมายเป็นของ ก. ก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงได้ความว่า ขณะเกิดเหตุก. พาผู้เสียหายไปฝากให้พักอาศัยอยู่กับจำเลยซึ่งก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายเคยพักอาศัยอยู่กับจำเลยหลายปีโดยจำเลยอุปการะเลี้ยงผู้เสียหายเสมือนเป็นบิดา เช่นนี้ พฤติการณ์ล่วงละเมิดทางเพศที่จำเลยกระทำต่อผู้เสียหายจึงมีลักษณะเป็นการกระทำที่จำเลยมีอำนาจบังคับเหนือผู้เสียหาย ซึ่งก่อนเกิดเหตุเคยอยู่ในความอุปการะของจำเลย และขณะเกิดเหตุ ก. ได้ฝากให้ผู้เสียหายอยู่ในความดูแลของจำเลย ทำให้ผู้เสียหายต้องมีความเคารพยำเกรงและเชื่อฟังจำเลย ผู้เสียหายจึงเป็นผู้อยู่ภายใต้อำนาจด้วยประการอื่นใดของจำเลยตามความหมายของ ป.อ. มาตรา ๒๘๕ แล้ว ดังนี้ เมื่อจำเลยพยายามกระทำชำเราผู้เสียหายในระหว่างที่ผู้เสียหายอยู่ภายใต้อำนาจด้วยประการอื่นใดของจำเลยแล้ว จำเลยจึงต้องรับโทษหนักขึ้น
ข้อสังเกต คำพิพากษาฎีกานี้วินิจฉัยตามมาตรา ๒๘๕ แก้ไขล่าสุดที่เพิ่มเติมคำว่า "หรือผู้อยู่ภายใต้อำนาจด้วยประการอื่นใด" ดังนั้น คำพิพากษาฎีกาที่ ๔๒๐๕/๒๕๖๗ ที่วินิจฉัยว่า "ผู้อยู่ใต้อำนาจปกครอง" ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๕ หมายถึง ความปกครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มิใช่ตามพฤตินัย จำเลยและภริยาซึ่งเป็นลุงกับป้าผู้เสียหายรับผู้เสียหายไว้อุปการะเลี้ยงดูให้การศึกษา ดังนั้น ผู้เสียหายไม่ได้อยู่ในความปกครองของจำเลยที่จะเพิ่มโทษหนักขึ้นตามมาตรา ๒๘๕ ได้คำพิพากษาฎีกาที่ ๔๒๐๕/๒๕๖๗ เป็นคดีที่ตัดสินตามกฎหมายเก่า ไม่อาจใช้เป็นบรรทัดฐานว่าไม่อาจเพิ่มโทษหนักขึ้นตามมาตรา ๒๘๕ เพราะแม้ว่าจะไม่ใช่ "ผู้อยู่ใต้อำนาจปกครอง" แต่ก็เป็น "ผู้อยู่ภายใต้อำนาจด้วยประการอื่นใด" ตามมาตรา ๒๘๕ ที่แก้ไขใหม่
| null |
About Thai Bar Under The Royal Patronage
"The Thai Bar Association originated from the Law School established under the royal initiative of King Chulalongkorn (Rama V).
In 1948, the Thai Bar Association established the Institute of Legal Education with the objective of imparting and promoting legal education and professional expertise in the practice of law. Instruction commenced for the first time in November 1948, with a curriculum modeled after the Council of Legal Education in England and the resolutions of the International Bar Association, of which the Thai Bar Association is a member."
The Thai Bar Association Editorial Dataset
"The objective of this editorial is to inform students about academic matters, examinations, and recent amendments to the law. Additionally, it presents new Supreme Court judgments—specifically those that overturn previous precedents or contain conflicting rulings—for educational purposes. Students aiming to qualify as Barristers are advised to rely primarily on the lecture content for their studies."
"บทบรรณาธิการ" มีวัตถุประสงค์ที่จะแจ้งข่าวสารในเรื่องต่าง ๆ ให้แก่นักศึกษาเกี่ยวกับการเรียนการสอน การสอบ รวมตลอดถึงกรณีที่กฎหมายมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลง ทั้งจะได้นำคำพิพากษาฎีกาใหม่ คำพิพากษาฎีกาที่กลับหลักแนวคำวินิจฉัยเดิม หรือที่วินิจฉัยขัดแย้งกัน มานำเสนอเพื่อประโยชน์แก่การศึกษา นักศึกษาจะสอบได้เป็นเนติบัณฑิตควรศึกษาจากเนื้อหาคำบรรยายเป็นหลัก
Dataset Statistics
From 2010 - 2025 (สมัยที่ 63 - ภาคหนึ่ง สมัยที่ 78 )
The data is divided into two sets:
- Editorials Part 1: Civil Law, Commercial Law, and Criminal Law.
- Editorials Part 2: Civil Procedure Law and Criminal Procedure Law.
Data Collection Process
- OCR Extraction: The text was initially acquired from the Thai Bar Association's lecture series via Optical Character Recognition (OCR From PDF.), approximately 16 volumes per term.
- Data Structuring: All data were compiled and structured into a standardized CSV format.
- Manual Verification: The dataset underwent manual review and correction to ensure accuracy of text ( Proofreading by Wuttikrai Lertprasertphakorn)
Usage
You can use datasets to download editorials as shown below or download individual CSV file from data folder.
from datasets import load_dataset
thaibar_dataset = load_dataset("mspkrai/ThaiBarAssociationEditorial/Bar_Editorials_1") # For Editorial Part 1
Contributors:
- Thai Bar Under The Royal Patronage
- ท่าน อ. ประเสริฐ เสียงสุทธิวงศ์ (Editor)
- ท่าน อ. สมชาย พงษ์พัฒนาศิลป์ (Editor)
- Wuttikrai Lertprasertphakorn (Annotators)
Copyright: The Thai Bar Under The Royal Patronage
- Downloads last month
- 21
